บล็อคเกอร์นี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และเผยแพร่บทความทางธรรมที่มีผู้เขียนขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและให้กำลังใจสำหรับผู้ที่กำลังท้อถอยในชีวิต
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
18 วิธีรับมือกับความเครียด
เรื่องของความเครียดเป็นปัญหาของ คนยุคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก เมื่อเราต้องทำงานมากขึ้น เวลามีน้อยลง ความเร่งรีบ การแข่งขัน ล้วนแต่ทำให้เราเครียดได้โดยไม่รู้ตัว พาให้ระบบในร่างกายรวนไปหมด เมื่อรู้อย่าง่นี้แล้วต้องหาทางรับมือกับความเครียดกันให้ได้ สมาคมสุขภาพจิตของประเทศแคนาดาก็ได้แนะนำวิธีแก้เครียดเอาไว้ 18 ข้อที่เราน่าจะรับฟังไว้แล้วลองปฏิบัติตามไม่เสียหลาย- สังเกตอาการที่คุณเป็นเสมอเวลาเครียด พึงรู้ตัวว่าเมื่อใดที่เกิดอาการเหล่านี้แปลว่าความเครียดมาเยือน ต้องรีบจัดการเสียโดยเร็ว
- พิจารณาวิถีการใช้ชีวิตของคุณที่ก่อให้เกิดความเครียด แล้วลองดูว่ามีสิ่งไหนที่จะปรับเปลี่ยนได้หรือไม่ ทั้งเรื่องการงาน ครอบครัว หรือภาระหน้าที่กิจวัตรประจำวัน
- ลองใช้เทคนิคการผ่อนคลายแบบต่างๆ เช่น เล่นโยคะ นั่งทำสมาธิ สูดหายใจลึกๆ หรือแม้แต่การไปนวดเพื่อผ่อนคลาย
- ออกกำลังกายเรียกเหงื่อ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยคลายเครียดได้ชะงัด
- จัดเวลาให้เป็น โดยทำรายการสิ่งที่ต้องทำเป็นข้อๆ จัดอันดับความสำคัญ แล้วเลือกทำสิ่งที่จำเป็นที่สุดเป็นอย่างแรก เมื่อทำเสร็จเรื่องไหนแล้วให้ขีดฆ่าทิ้งไปทีละรายการ คุณจะรู้สึกดีขึ้นมาก
- พิจารณาสิ่งที่คุณกินเข้าไปบ้าง แอลกอฮอล์ คาเฟอีน น้ำตาล ไขมัน บุหรี่ อะไรเหล่านี้ที่ใครๆ บอกว่าเป็นยาคลายเครียดชั้นดี แท้จริงแล้วมันกลับไปกดร่างกายของคุณให้รับมือกับความเครียดได้แย่ลง คุณน่าจะหันมาหาผลไม้ ผัก ธัญพืช หรืออาหารที่มีโปรตีนสูงๆ แต่มีไขมันต่ำจะดีกับร่างกายของคุณมากกว่า
- พักผ่อนให้เพียงพอ และนอนหลับให้เต็มอิ่ม
- หากคุณรู้สึกเครียดมากๆ ควรหาทางระบายออกมาเสียบ้าง ด้วยการเล่าให้คนที่คุณสนิทและไว้ใจได้ฟัง หรือหากไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครก็ยังมีศูนย์ฮ็อตไลน์ที่รับบริการปรึกษาปัญหา ชีวิต ซึ่งพร้อมรับฟังปัญหาของคุณ ถึงแม้เขาเหล่านั้นอาจจะไม่มีคำตอบดีๆ ให้คุณแต่การได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น และในที่สุดจะมองเห็นทางออกของปัญหาได้ด้วยตัวของคุณเอง
- ลองหากิจกรรมการกุศลทำดูบ้าง เช่น ไปเป็นอาสาสมัครต่างๆ การได้ช่วยคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มใจ และยังช่วยลดความเครียดไปด้วยในตัว
- ละทิ้งเรื่องที่กำลังคิดเครียดอยู่ชั่วคราว เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่ทำให้คุณสบายใจขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือออกไปเที่ยว คุณจะรู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบตเตอรีอีกครั้ง
- ถ้าคุณกำลังโกรธใครอยู่ ลองหาทางระบายออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยการหาอะไรทำสักอย่างที่หันเหความสนใจ ของคุณ เช่น ขุดดินปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน คิดถึงแผนงานใหม่ที่ต้องจัดการ แล้วทุ่มพลังทำมันเข้าไป ในที่สุดคุณจะพบว่าคุณลืมเรื่องที่กำลังโกรธได้เอง
- หากมีเรื่องกับใครก็อย่ามุ่งเอาชนะอีกฝ่ายท่าเดียว เพราะมันอาจนำมาซึ่งการใช้กำลังเข้าตัดสินกันได้ในที่สุดซึ่งจะแย่กับทุก ฝ่ายโดยเฉพาะคุณ การยอมแพ้ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีแต่เป็นการคิดที่ฉลาดเพื่อยุติข้อขัด แย้งก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โตต่างหาก
- เมื่อมีปัญหา ให้คิดทีละเรื่อง อย่าคิดหลายๆ เรื่องพร้อมกันในคราวเดียว
- ไม่ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบมากนักก็ได้
- เมื่อต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่น จงทำใจให้สบายแล้วยิ้มสู้เข้าไว้
- อย่าเอาตัวเองไปแข่งขันกับใคร
- มองคนที่เราต้องติดต่อด้วยอย่างเป็นมิตรไว้ก่อน
- สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองและคนอื่น มองโลกในแง่ดีกว่าเดิม ทำชีวิตให้ง่ายขึ้น
ถ้าคุณทำได้ทั้ง 18 วิธีนี้ เราเชื่อแน่ว่าคุณจะห่างไกลกับความเครียดได้ไม่ยากเลยนะคะ
...........
บทความจาก
http://women.impaqmsn.com
เทคนิคพิชิตเครียด
ในช่วงชีวิตของการเป็นวัยรุ่น จะต้องมีระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญรออยู่ 1 โค้งนั่นคือ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในระบบกลาง หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า แอดมิชชั่น (Admissions) ซึ่งมีผลให้เด็กวัยรุ่นต้องเผชิญกับภาวะวิตกกังวลเกี่ยวกับการสอบ จนกลายเป็นความตึงเครียดทั้งทางจิตใจและร่างกาย แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ ในการประกาศผลสอบทุกปีจะมีเด็กที่ผิดหวังเป็นจำนวนมาก บางคนเครียดจัดถึงขนาดฆ่าตัวตาย ซึ่งหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามร่วมมือกันหาวิธีรับมือ และแก้ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป นายแพทย์ สรวุฒ คุ้มครองธรรม จาก ศูนย์รีไวทัลไลท์ฯ ซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ เพื่อเสริมสร้างความมีชีวิตชีวาและการชะลอวัย แบบองค์รวมในระดับเซลล์ มีความห่วงใยในปัญหาดังกล่าวเช่นกัน จึงฝากข้อคิดที่น่าสนใจไว้ให้วัยรุ่นที่กำลังเครียดกับการประกาศผลสอบเข้า มหาวิทยาลัยซึ่งจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ รวมถึงผู้ที่อาจพลาดหวังจากการสอบเพื่อไม่ให้คิดทำร้ายตัวเอง
“การสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้จะเป็นเส้นทางสำคัญหนึ่งของชีวิตวัยรุ่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเส้นทางที่จะต้องมีทั้งคนสมหวังและผิดหวัง สำหรับคนที่พลาดตรงนี้ อย่าเพิ่งเสียใจ หมดหวัง เพราะการสอบเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตแต่ไม่ใช่ทั้งหมด โอกาสหน้าเรายังสามารถแก้ตัวใหม่ได้อีก ขอให้เตรียมตัวให้พร้อมและพยายามทำให้ดีที่สุด ส่วนใครที่ไม่อยากเสียเวลา ก็ยังมีสถาบัน การศึกษาอื่นให้เลือกเรียนอีกมาก อย่าคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเอง เพราะอนาคตของเราไม่ได้วัดกันที่เรื่องนี้แค่อย่างเดียว” คุณหมอสรวุฒ ให้ข้อคิด
อย่างไรก็ตาม ความเครียด ก็สิ่งใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา เพราะเกิดจากภาวะของจิตใจตนเองที่ตื่นตัวพร้อมจะเผชิญกับความกดดันอย่างใด อย่างหนึ่ง ซึ่งคาดคิดว่าเกินความสามารถของเราที่จะแก้ไขให้หมดสิ้นหรือบรรเทาลงได้ สำหรับวัยรุ่นที่มีความเครียดมาก อาจแสดงออกมาในรูปของการเก็บตัว ไม่พูดคุยกับใคร ไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่ง หรือหลบหน้า มีอาการซึมเศร้า กินอาหารไม่ลง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แน่นหน้าอก ท้องอืด ปวดหัว มีผื่นขึ้นตามตัว ซึ่งหากพบใครมีอาการแบบนี้จะต้องรีบให้ความช่วยเหลือ แก้ไขโดยเร็ว
“อย่างที่เห็นตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ปัจจุบันมีวัยรุ่นฆ่าตัวตายมากขึ้น จากหลายๆสาเหตุ เช่น ผิดหวังจากความรัก น้อยใจพ่อแม่ เรื่องการเรียน โดยเฉพาะเด็กบางคนที่พ่อแม่คาดหวังไว้มาก ก็ยิ่งจะทำให้ลูกรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง เมื่อเด็กหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้มักจะแก้ปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย การเลี้ยงดูจึงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกให้เรียนรู้ในการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ และแก้ไขปัญหาอย่างมีเหตุผล รู้จักยอมรับความเป็นจริง ก็จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับเขาในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ได้อย่างดี สำหรับครอบครัวไหนที่มีลูกหลานผิดหวังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ควรให้กำลังใจ เข้าอกเข้าใจเด็ก อย่าซ้ำเติม หลีก เลี่ยงการเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น เพื่อให้เด็กไม่เครียด ยิ่งเด็กที่เคยทำร้ายตัวเองมาก่อน คุณพ่อคุณแม่ควรต้องดูแลเป็นพิเศษเพราะเขาอาจทำซ้ำอีกเนื่องจากความผิดหวัง ก็ได้ จึงพยายามอย่าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว“ เป็นข้อควรปฏิบัติ ที่คุณหมอฝากไว้
นอกจากนี้ คุณหมอสรวุฒ ยังมีวิธีแก้เครียดมาฝากกันอีก ซึ่งทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ ไม่จำกัดแค่กลุ่มวัยรุ่นที่เกิดความเครียดเท่านั้น โดยคุณหมอแนะว่า ถ้าเกิดความเครียดมากๆ ก็ควรหาทางระบายออกด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ชื่นชอบ เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ฯลฯ และพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 7-8 ชั่วโมง
“เวลานอนที่ดีที่สุดของคนเราคือ ช่วง 4-5 ทุ่ม เพราะจะมีฮอร์โมนที่หลั่งออกมาช่วยซ่อมแซมร่างกายระหว่างเราหลับ วัยรุ่นที่นอนดึกจึงมักจะโตช้า ห้องนอนก็ควรจะมืดสนิท เพราะมีฮอร์โมนตัวนึงชื่อ เมลาโตนิน จะหลั่งออกมาตอนไฟมืดสนิท เป็นเหมือนนาฬิกาชีวิตเรา ทำให้แก่ช้าลง และเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเรา หากมีอาการนอนไม่หลับ เพราะเครียดหรือคิดเรื่องอะไรมากเกินไป การดูทีวีก่อนนอน ก็ทำให้สมองไม่ได้พัก จึงไม่ควรทำอะไรก่อนนอนแล้ว ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือกิน ควรนั่งวิปัสนา ทำจิตใจให้ว่าง จะได้นอนหลับสบาย” คุณหมอสรวุฒ กล่าว
จากกิจกรรมคลายเครียด ลองมาดูถึงเรื่องอาหารการกิน ที่ช่วยลดความเครียดกันบ้าง ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด เช่น ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์ ไข่ จะมีสารอาหารช่วยลดระดับความเครียดชื่อ ทริปโตฟาน, ในธัญพืชต่าง ๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก มีสารอาหารจำพวกวิตามินบี ๖ , ตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์ จะมีสารอาหารจำพวกวิตามินบี ๓ ฯลฯ ส่วนของหวานสุดโปรดของหลายๆ คนอย่าง ช็อคโกแลต ก็ช่วยแก้เครียดได้ชะงัดเช่นกัน
แต่สำหรับผู้ที่มีอาการเครียดเรื้อรัง หาวิธีแก้ไขอย่างไรก็ยังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นจะต้องอาศัยเทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยเหลือ ซึ่งศูนย์รีไวทัลไลท์ฯ ซอยร่วมฤดี มีโปรแกรมการแก้ปัญหาอาการเครียดอย่างได้ผล ที่เรียกว่า โปรแกรม Wellness & Stress Management เป็นโปรแกรมที่รวบรวม ศาสตร์แห่งการคลายเครียดในระดับลึก ทั้งศาสตร์ตะวันออกและศาสตร์ตะวันตก เพื่อการผ่อนคลายอย่างแท้จริง ซึ่งประกอบไปด้วย เทคนิค การดลจิต เพื่อการผ่อนคลายในระดับลึก การนวดกดจุด เพื่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดความเมื่อยล้าทางร่างกาย และปิดท้ายด้วยการเพิ่มพลังและความสดชื่น ให้กับอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย โดยใช้อุปกรณ์ C.I.T.E. (Controlled Ionically Transferred Energy) ซึ่ง เทคโนโลยีของ CITE คือ Ionizer ที่ปล่อยประจุ เข้าสู่ร่างกายและไปตามเส้น Meridian เพิ่ม Qi แก่ร่างกายทุกส่วน ดังนั้นพลัง Qi ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยซ่อมแซมส่วนของร่างกายที่สึกหรอ โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติ และเพิ่มความมีชีวิตชีวา Vitality แก่อวัยวะในร่างกาย
ชีวิตวัยรุ่นเป็นช่วงที่มีสีสันและเสน่ห์มาก หากรู้จักใช้ความคิดและมีสติ ก็สามารถเลือกเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องได้ปลอดภัยตลอดรอดฝั่ง แต่หากปล่อยให้อารมณ์ผิดหวังเพียงวูบเดียวมาทำลายโอกาสดีๆ ที่รออยู่ในอนาคต ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง หากมีปัญหาเรื่องเครียดจนทำให้ความสุขในชีวิตเริ่มขาดหายไป เชิญมาสัมผัสกับนวัตกรรมใหม่ที่จะช่วยให้สุขภาพกายและใจของคุณดีขึ้นอย่าง สมดุล ณ ศูนย์รีไวทัลไลท์ ซอยร่วมฤดี สอบถามรายละเอียดได้ที่ Calll Center 02-651-4751-3 หรือ www.revitalite.co.th
“Revitalite มหัศจรรย์แห่งสุขภาพและความงามที่ทำให้ชีวิตทุกด้านของคุณดีขึ้น”
ที่มาข้อมูล :บริษัท พับบลิค ฮิต จำกัด
ขอบคุณ : http://www.dhammajak.net/dhammabox-2/23.html
ข้อคิดชีวิตมีสุข
1. เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อการเฝ้านั่งเสียใจร่ำไห้ หรือ พูดถึงแต่สิ่งที่เราทำผิดพลาดในอดีต รู้จักให้อภัยตัวเองในสิ่งที่เราทำผิดพลาด แล้วไม่นึกถึงมันอีก
2. เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่น ในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดในอดีต แล้วไม่พูดถึงมันอีก
3. การปล่อยวางไม่ใช่เป็นการยอมแพ้ ตรงกันข้าม เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากส่วนลึกของหัวใจของเราวันละน้อย เพื่อเอาชนะความอ่อนแอ
4. ชีวิตไม่ได้เติบโตจากการทำให้ทุกสิ่งได้ดั่งใจของเรา แต่เป็นการยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราอย่างกล้าหาญ รักและเข้าใจทุกสิ่งที่เราได้ตัดสินใจทำลงไปทุกครั้ง
5. เรียนรู้ความจริงว่าเราไม่สามารถบังคับผู้อื่นให้คิดและทำในสิ่งที่เราต้อง การได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ยังทำให้เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้เลย
6. อย่าเสียเวลาคิดแค้นเคืองโกรธในการกระทำของผู้อื่นที่ส่งผลให้เราทุกข์ใจ ให้อภัยเขาเสีย และหากอยากรู้สึกดีขึ้น ก็นึกถึงคำสอนในพุทธศาสนาว่า ใครทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลนั้นได้ด้วยตนเอง
7. วัตถุหรือภาพลวงตาภายนอกไม่เคยสามารถเติมเต็มหัวใจใครได้ การตั้งหน้าตั้งตาหาวัตถุ หรือความพึงพอใจจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อหวังว่าจะทำให้เรารู้สึกเต็มและมีความสุข นั่นเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ การรับวัตถุทำให้เรามีความต้องการไม่รู้จบ ขณะที่การได้รับความรักความเข้าใจจากคนที่รักอย่างเต็มเปี่ยมจะทำให้เรามี หัวใจที่ "เต็ม" จนไม่ต้องไขว่คว้าหาวัตถุมาเติมเต็มหัวใจอีก
.....
2. เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่น ในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดในอดีต แล้วไม่พูดถึงมันอีก
3. การปล่อยวางไม่ใช่เป็นการยอมแพ้ ตรงกันข้าม เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากส่วนลึกของหัวใจของเราวันละน้อย เพื่อเอาชนะความอ่อนแอ
4. ชีวิตไม่ได้เติบโตจากการทำให้ทุกสิ่งได้ดั่งใจของเรา แต่เป็นการยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราอย่างกล้าหาญ รักและเข้าใจทุกสิ่งที่เราได้ตัดสินใจทำลงไปทุกครั้ง
5. เรียนรู้ความจริงว่าเราไม่สามารถบังคับผู้อื่นให้คิดและทำในสิ่งที่เราต้อง การได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ยังทำให้เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้เลย
6. อย่าเสียเวลาคิดแค้นเคืองโกรธในการกระทำของผู้อื่นที่ส่งผลให้เราทุกข์ใจ ให้อภัยเขาเสีย และหากอยากรู้สึกดีขึ้น ก็นึกถึงคำสอนในพุทธศาสนาว่า ใครทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลนั้นได้ด้วยตนเอง
7. วัตถุหรือภาพลวงตาภายนอกไม่เคยสามารถเติมเต็มหัวใจใครได้ การตั้งหน้าตั้งตาหาวัตถุ หรือความพึงพอใจจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อหวังว่าจะทำให้เรารู้สึกเต็มและมีความสุข นั่นเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ การรับวัตถุทำให้เรามีความต้องการไม่รู้จบ ขณะที่การได้รับความรักความเข้าใจจากคนที่รักอย่างเต็มเปี่ยมจะทำให้เรามี หัวใจที่ "เต็ม" จนไม่ต้องไขว่คว้าหาวัตถุมาเติมเต็มหัวใจอีก
.....
บางตอนจากหนังสือ "เข็มทิศหัวใจ"
ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ
“50 ข้อคิด”
มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
1. เมื่อเด็กกำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น มีความต้องการเป็นตัวของตัวเองสูง ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจและใจแคบมักจะมองว่าเด็กดื้อ
2. คนเราจิตตกได้เป็นครั้งคราว อาจทำอะไรที่ไม่เหมาะสมได้ การรู้ตัวเองและให้อภัยตัวเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. คนอกหักไม่อาจตัดความโศกเศร้าได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเยียวยาความรู้สึกดังกล่าว
4. ให้เคารพแนวคิดของผู้อื่นบ้าง เสมือนหนึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ต่างไปจากเราเท่านั้นเอง
5. ตนเองเสียเมื่อไหร่ที่คิดดี คิดชอบเป็นอยู่คนเดียว
6. ทำไปเพราะไม่รู้ ให้อภัยกันได้ รู้แล้วยังทำ คือ ความดื้อ
7. ก่อนที่จะว่ากล่าวถึงนิสัยไม่ดีของลูกนั้น ให้มองตัวพ่อแม่เองก่อนด้วยว่า เรามีส่วนผลักดันให้เขาเป็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า
8. ความทุกข์ของมนุษย์ 100% เกิดจากการพยายามฝืนความจริงของธรรมชาติ
9. หากต้องอยู่กับคนที่ไม่เกรงใจกันเลย พูดกับเขาให้น้อยลง เล่นกับเขาให้น้อยลง
10. หากอยากได้อะไร ก็ควรเสียอะไรบ้าง
11. ถ้าเราปล่อยให้โลก เร่งตัวเรา ควบคุมตัวเรา จนเราขาดอิสระภาพ เราก็จะทุกข์ ถ้าเราจะเร่งโลก ควบคุมโลกให้โลกนี้เป็นไปตามความต้องการของเรา เราก็ทุกข์เช่นกัน
12. ความฉลาดอาจหลอกคนได้ ความจริงใจต่างหากที่จะชนะใจคน
13. การให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากไป ทำให้เราลืมธรรมชาติ ลืมความเป็นจริงได้ง่าย
14. อารมณ์เป็นตัวกำหนดความคิด ความคิดกำหนดพฤติกรรม หากจะเข้าใจพฤติกรรมของคนให้ถูกต้อง จึงต้องอ่านอารมณ์ให้ออก
15. การมองอะไร ว่าดี ว่าเลว ขึ้นกับว่าอารมณ์ของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร
16. ทำอะไรก็แล้วแต่ ควรมีหลักการบ้าง แต่ต้องระวังอย่ายึดเป็นกฎเกินไป
17. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเป็นคำพื้นๆ ที่ใช้มาเตือนสติเราได้ดีตลอดกาล
18. การพยายามทำอะไรทุกอย่างให้ได้ การสงสัยอะไรทุกเรื่องเป็นความโง่ได้ก็เพราะว่าเรื่องต่างๆ ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่ใช่ว่าเราจะรู้มันได้ง่ายและเรื่องอีกหลาย เรื่องก็ไม่จำเป็นที่ต้องตอบให้ได้ด้วย
19. คุณธรรมส่อคุณค่าของมนุษย์มากกว่าความฉลาด
20. อะไรก็ตามแต่แม้ว่ามันจะจริง จะถูกต้อง แต่ถ้าการพูดออกไปนั้น มันไม่มีประโยชน์มีแต่ผลเสีย อย่าพูดดีกว่า
21. การขาดความเกรงใจต่อกัน ทำให้เราทะเลาะกันได้ง่าย การมีความเกรงใจต่อกันที่มากเกินไป ก็ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง
22. ใครที่เขากล้าพูดความจริงกับเราออกมา นั่นก็เพราะเขามีความเชื่อมั่นว่าเราจะยอมรับเขาได้
23. การฝึกวินัยให้กับลูกนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นการฝึกวินัยให้กับพ่อแม่ด้วย
24. หากลูกเป็นคนเฉื่อยชา เราคงต้องช่วยกระตุ้นให้กำลังใจ หากลูกเป็นคนเอาจริงเอาจังเกินไป เราคงต้องช่วยสอนให้ลูกได้ปล่อยวางบ้าง กฎเกณฑ์การเลี้ยงลูกของคนๆ หนึ่ง จึงไม่เหมือนของอีกคนๆหนึ่ง
25. เมื่อคิดจะเสนอความคิดเห็นต่างๆ ที่มองว่าดี ต้องมองถึงความเป็นจริง ความเป็นไปได้ด้วยเสมอ
26. แต่ละคนมีศักยภาพของตัวเองอยู่แล้ว เราจึงควรต้องให้เกียรติต่อกันบ้าง
27. เมื่อเป็นคนก้าวร้าวคนอื่นไม่เป็น ก็มักจะถูกคนอื่นรุกรานได้ง่ายเช่นกัน
28. ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม การตายก็ไม่ใช่วิธีการหนีปัญหาได้ตลอดไป เนื่องจากกรรมนั้นๆ ยังไม่ได้ชดใช้ จนหมดวาระในตัวของมันเอง เกิดชาติหน้า กรรมเก่าก็จะติดตัวต่อไปอยู่ดี
29. การมองปัญหาในแง่มุมต่างกัน ในจุดต่างกันจะทำให้เข้าใจปัญหาได้ต่างกัน
30. เราจะให้อภัยตัวเอง กับผู้อื่นได้นั้น เราต้องเข้าใจในตัวเองและผู้อื่นได้ก่อน
31. การแก้ปัญหาทางบุคลิกภาพต้องอาศัยทั้งความจริงใจและการอดทนเป็นอย่างยิ่ง
32. ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นเรื่องที่ดี แต่..ปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นก็หาได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวไม่
33. เวลาที่พ่อแม่จะสะกิดฝีหนองให้ลูกนั้น พ่อแม่เองก็เจ็บปวดไม่น้อย
34. บางครั้งเราต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจเรา มากกว่าที่เราอยากจะเข้าใจตัวเอง นั่นก็เพราะว่า เรายังเป็นมนุษย์ที่ยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง
35. เรื่องที่คนเราประทับใจ มักจะลืมเลือนได้ยาก ก็เนื่องจากความประทับใจ ไม่ใช่ความจำนั่นเอง
36. จะมีเราอยู่.....เขาก็เป็นอย่างนั้น
ไม่มีเราอยู่.....เขาก็เป็นอย่างนั้น
37. หากเขาคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จริงๆ แล้ว เราเป็นได้แค่เพียงตัวกระตุ้นเท่านั้น
38. ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เราจะสัมผัส "การรู้" ได้ยากยิ่ง
39. ความสับสนในชีวิดมันเกิด ควรหาที่ยึดเหนี่ยวให้จิตใจได้พักเสียบ้าง
40. เรื่องของชีวิต มันมีจังหวะที่ต้องรอคอยอยู่บ้าง จะเรียกร้องให้มันได้ดั่งใจเสมอไปได้อย่างไร ความจริงใจ หากถูกแปลเป็นแง่ลบแล้ว ใครยังอยากจะกล้าจริงใจให้อีก
41. เพราะความอยาก..มันถึงได้วุ่นวายกันเพียงนี้
42. ไม่ใช่ว่า ห้ามโกรธ แต่ให้รู้ว่าโกรธ ไม่ใช่แสดงความโกรธแต่ให้พูดออกมาว่าโกรธ
43. จิตและอารมณ์เป็นของแท้ ความคิด คือ ตัวปรุง
44. หากเชื่อว่า "การบ่น" จะทำให้ลูกนิสัยดีขึ้นก็น่าจะลองดู ในเมื่อความเป็นจริงนั้น "การบ่น" มักจะยิ่งทำให้ลูกแย่ลงมากกว่าเดิมเสียอีก
45. ใครเขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง มันอยู่ที่..เรารู้สึกอย่างไรด้วยต่างหาก
46. หากพ่อแม่คาดหวัง อยากจะให้ลูกเป็นคนดีนั้น พ่อแม่ต้องช่วยให้ลูกเป็นคนดีด้วย (อย่าเพียงแต่หวัง)
47. พ่อแม่ หากมีความรักลูกมากไปแล้ว ก็ยากที่จะสอนวินัยให้กับลูกได้ดี
48. การเข้าใจคนอื่นได้ เป็นเรื่องที่ดี การเข้าใจตนเองได้ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่แย่ และก่อให้เกิดทุกข์ได้มากก็ คือรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย
49. กังวล เกินกว่าเหตุ..เชื่อมั่น มากเกินไป..ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักตนเองอยู่เสมอ
50. การเร่งแก้ปัญหา โดยรีบคิดให้ตกทันที จะยิ่งสร้างปัญหาทางอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น
ขอบคุณ : http://www.dhammajak.net/dhamma/50.html
สาเหตุของการไม่มีสมาธิ
๑. ขาดความสนใจในสิ่งที่ทำ
๒. สนใจในสิ่งที่ทำมากจนเกินไป
๓. สนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
๔. ความเป็นคนหัวดี ปัญญาดี ทำให้คิดไปที่อื่นเร็ว
๕. จิตครอบงำด้วยนิวรณ์
การสร้างนิสัยให้มีสมาธิในชีวิตประจำวัน
๑. สร้างนิสัย “ลงมือทำทันที”
๒. สร้างนิสัย “เรียนล่วงหน้า” มิใช่แค่ “เรียนตาม”
๓. สร้างนิสัยมุ่งมั่นว่า “ถ้าทำไม่เสร็จจะไม่ใส่ใจอะไรอื่น”
๔. จัดลำดับของเรื่องที่จะทำก่อนลงมือ
๕. หัดคิดทีละเรื่อง โดยให้เจาะลึกในเรื่องนั้นๆ อย่าผิวเผิน
๖. สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะแก่การมีสมาธิ
๗. รู้จักพักเป็นช่วงๆ
๘. สร้างความเต็มใจและจริงใจที่จะทำสิ่งนั้นๆ
๙. พยายามหัดคิดในเรื่องสร้างสรรค์
๑๐. เลิกนิสัยมากเรื่องในการจะทำอะไรสักอย่าง
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ได้แนะนำวิธีการทำสมาธิในห้องเรียนว่า
๑. หาที่นั่งที่สามารถมองเห็นครูและกระดานได้ชัดเจน
๒. เมื่อครูเดินเข้ามา ส่งจิตไปรวมที่ครูผู้สอน
๓. จับใจความให้ได้ตามที่ครูต้องการ
๔. เวลาว่างแทนที่จะนั่งคิดสิ่งอื่น ก็นำบทเรียนมาคิด
๕. ให้สติรู้ตัวทุกอิริยาบถ ในการทำ พูด คิด
...............................................................
ขอบคุณบทความจากพลังจิตดอทคอม
ขอบคุณ : http://www.dhammajak.net/smati/38.html
ธรรมวิธี.........ลดเคราะห์ บรรเทา "กรรม"
ธรรมวิถีลดเคราะห์บรรเทากรรม เสริมดวง สิริมงคลด้วยพลังบุญศักดิ์สิทธิ์
๑ สิทธิการิยะ พระอาจาริยเจ้าได้ถ่ายทอดธรรมวิ๔เพื่อโปรดสัตว์ให้มีสุข พ้นทุกข์พอสรุปได้ความดังนี้
๑ เรื่องบุญเรื่องบาปกรรมกำหนดที่พุทธศาสนา กล่าวไว้เป็นเรื่องจริง เพราะถ้าไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว มนุษย์เราต้องเกิดมาเหมือนกันหมด แต่เพราะมีบุญมีบาป จึงเป็นเช่นนั้น มีดี, ชั่ว, สุข, ทุกข์, รวย, จน, มีโชค, มีเคราะห์ ฯลฯ
๑ดังอธิบายในเบื้องต้นว่าสุข ทุกข์ เกิดจากบุญ บาป กรรมดี กรรมชั่ว ดังนั้นการที่จะหลีกพ้นจากทุกข์โทษเวรภัยเคราะห์ร้ายทั้งหลาย ก็ด้วยพลังของความดีที่ตนเองได้สร้างเป็นหลักแล้ว ยังสามารถพึ่งพระรัตนตรัย ตลอดจน เทวฤทธิ์ รวมพลังบุญศักดิ์เป็นแสงสว่างแก่ชีวิทเป็นย่อเกิดความปห่งความดีงามของตนและ คนอื่น
๑แก้ววิเศษ มี่ค่ามหาศาลประมาณค่ามิได้ เป็น ที่พึ่งได้จริง คือ พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงให้ตั้งนะโม นมัสการบูชาพระ ถึงไตรสรณคมณ์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สัฃฆัง สะระณัง คัจฉามิ หางศรัทธามั่งคงย่อมเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นแก้วสูงสุดในสามโลก
๑ศีลรักษาให้มีกายวาจาเป็นปรกติ ศีลล่งผลให้เกิดในที่สุขติ เทวดารักษา ไม่ไปในทางเสื่อม บางท่านบอกว่าศีลรักษายาก แต่จริงๆแล้ว ทุกท่านสามารถรักษาได้ อย่างน้อยข้อไดข้อหนึ่งก็ยังดี บางท่านมีปัญญา ก่อนนอนรักษาศีล8 ตื่นนอนรักษาศีล5 อย่างน้อยก็มีกำไรเพราะตอนนอนย่อมรักษาศีลได้อย่างแน่นอน ช่วยชำระกิเลสให้เบาบางลง ปละเป็นบุญสำคัญที่จะรองรับความดีนังให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
๑ทานส่งผลให้มีทรัพย์ ทานมี หลายระดับแตกต่างกัน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ พระอริยะเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระ พุทธเจ้า ย่อมมีอนิสงค์แตกต่างกันไปจนถึงสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน และ จนถึงที่สุดคือ อภัยทาน ถ้าบำเพ็ญอยู่เสมอย่อมยังผลให้เกิดความคล่องตัว ทุกคนสามารถทำได้ง่ายๆ คือ หาถาชนะอันสมควรตั้งในที่บูชา แล้วนำเงินไปใส่ไว้ในภาชนะนั้น สวดมนต์ใหว้พระ เจริญพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า สะสมไว้จนเต็มหรือมีโอกาศก็นำไปทำบุญ ทำทุกวันเห็นผลทั้งทางโลกและทางธรรม (พระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระคาถาอื่นๆจะนำลงในเว็บภายหลัง)
๑การเจริญภาวณาก็เป็นบุญกุศลมหาศาล เพราะ สามารถปราบกิเลสได้หลายตัว ตั่งแต่เริ่มตั้งตาการสวดมนต์สามารถบำเพ็ญได้ครบทั้งกาย วาจา ใจ เช่น กายพนมมือ นอบน้อม ปากสวดมนต์สรรเสริญคุณพระ ใจระลึกถึงคุณพระ ผุ้ที่สวดด้วยความเคารพตั้งใจเลื่อมใส ยังให้มีบุญประมาณมิได้ ทั้งยังเกิดสวัสดิมงคล
๑ผู้ที่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ฆ่ามนุษย์ โดย เฉพาะทำแท้ง เป็นบาปก่อให้เกิดทุกข์อุปสรรคทั้งหลายในชีวิตนานา ประการ ให้ทำบุญด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก 5 นิ้วขึ้นไป ผ้าขาว หรือไตรจีวรไร้อมอาหารถวายเป็นสังฆทาน อนิษฐานขอบุญพระพุทธเจ้า บุญศักดิ์สิทธิ์ นำพาดวงจิตไปวิมานบุญ ขออโหสิกรรมนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้มีความสุขด้วยพุทธบารมีธรรม (หรืออาจจะสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 5 นิ้ว อนิษฐานเป็นพระพุทธรูปบูชาอโหสิกรรมพิเศษของเราโดยเชิญดวงจิตของบุตรมาเป็น เทพรักษาประจำองค์พระ ทำการอัญเชิญด้วยการสวดพุทธคุณและพระคาถาต่างๆ ขอบุญพรพุทธเจ้าส่องนำทางขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน) หมั่นสวดมนต์แพร่เมตตามากๆเพื่อชำระให้จิตใจให้ใสสะอาด
๑ผู้ที่เบียดเบียนฆ่าสัตว์ ตัด ชีวิต มีผลให้เกิดโรคถัยไข้เจ็บอายุสั้น ควรทำบุญด้วยการช่วยชีวิตสัตว์อนิษฐานแพร่เมตตาอโหสิกรรม ทำบุญด้วยยารักษาโรค หรือ ทำบุญกับโรงพยาบาลสงฆ์ หรือ ด้านการแพทย์ บำรุงพระเณรปฏิบัติ ผู้อาพาธ เจ็บป่วย
๑ผู้ที่สมบัติฉิบหายด้วยเหตุต่างๆ จง ทำใจอย่าเสียดายกับทรัพย์นั้นๆ ทำใจให้เป็นบุญมาแทนที่ให้ อนิษฐานสมบัติทั้งหลายที่สูญไปทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ขอพิจารณาบูชาแก่พระไตรลักษณะญาณ พระ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอสมบัติทั้งหลายทั้งทางโลก ทางธรรมหลั่งไหลเข้ามาเป็นหมื่นเท่าทวีคูณ และควรให้ทานตามโอกาส
๑บางท่านที่เป็นหนี้สงฆ์ หนี้สินทรัพย์ หนี้สิน หนี้เวรหนี้กรรม กับผู้หนึ่งผู้ได ทั้งชาติก่อน ชาตินี้ ให้อนิษฐานสร้างพระชำระหนี้ ถวายในพระศาสนา อาจจะเป็นพระพุทธรูปตั้งแต่ 5 นิ้วขึ้นไปจนถึง 4 ศอกหรือ มากกว่านั้น อนิษฐานชำระหนี้ และปิดทองคำแท้ที่องค์พระ ตั้งแต่ 3 แผ่นขึ้นไปหรือทั้งองค์ก็ยิ่งดี พร้อมปัจจัยศรัทธา เขียนหน้าซองถวายชำระหนี้สงฆ์ หนี้สินทรัพย์ หนี้สิน หนี้เวรหนี้กรรม ขอให้หมดหนี้มีสินด้วยพระพุทธรัตนไตร เป็นแก้ววิเศษประมาณมิได้
๑ทุกข์เพราะความรัก เพราะเคยทำ ชั่วเรื่องความรักไว้ ให้ตั้งใจรักษาศีลถือบวชแล้วเจริญปัญญาให้มากๆ ความรักไม่ได้ทำให้ผู้ไดทุกข์ แต่ ทุกข์เพราะการยึดติด ไม่ปล่อยวางปรารถณาที่จะครอบครองจึงเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงควรรู้จักให้รู้จักรักโดยไม่หวังผลตอบแทน และที่สำคัญจงรักตนเองให้มากๆ ทำชีวิตให้มีคุณค่าเพื่อตนเองและคนที่เรา
๑ทุกข์เรื่องคู่ครอง ให้พิจรณา ว่าอาจจะมีหนี้เวรหนี้กรรม ต้องชดใช้ ให้จุดเทียน 1 คู่ ธูป 5 ดอก ดอกไม้5สี (ถ้าเป็นดอกกุหลาบได้ก็ดี) อนิษฐานบูชาพระ หากแม้นมีหนี้เวรหนี้กรรม ขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน น้อมจิตระลึกถึงบุญกุศลทีเคยสร้างร่วมกันชักนำดวงจิตให้คิดดีต่อกัน แล้วแผ่เมตตาให้มากมาก ย่อมเกิดผลดี ตลอดทั้งให้พิจารณา สิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน อะไรควรไม่ควร แก้ไขตามเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ ต้องแก้ด้วยสติปัญญา
๑ผู้ถูกหลวงลวง เพราะเคยทำกรรมชั่วทางวาจา ให้ตั้งใจรักษาสัจจะในสิ่งที่ดีงามเรื่องไดเรื่องหนึ่งเช่นตั้งสัจจะว่าจะ สวดมนต์ทุกวันก็ทำให้ได้ พูดแต่สิ่งที่ดีงาม
๑ผู้สติไม่ดี อาจจะเพราะกรรมชั่วในสิ่งที่มึนเมา จึงให้งดของมึนเมาทั้งหลายเพื่อสร้างสติ อนิษฐานว่าจะดื่มใจจะสูบให้น้อยลงและเลิกละ หากทำได้ก็ชนะตัวเอง
๑ผู้เลี้ยงลูกหลานไม่ได้ดีควรสั่งสมกตัญญูกตเวทิตาธรรม อธิษฐานขอพร พระแจกหนังสือธรรมะ เพื่อสั่งสอนคนให้เป็นคนดี ควรป้อนข้อมูลดีๆ ไม่ควรแช่งด่าลูกหลาน ถ้าใครแช่งด่าไว้มากมากควรสวดมนต์ ขอถอนคำแช่งด่า เปลี่ยนคำอธิษฐานในทางที่ผิดเป็นในทางที่ดี
๑บางท่านที่อยู่อาศัยเป็นทุกข์ ก็ ให้ตั้งขันน้ำที่หน้าพระเจริญพระพุทธมนต์ต่างๆ จุดเทียนทำน้ำมนต์ เวลาดับเทียนก็ขอให้ดับความทุกข์เร่าร้อนทั้งหลาย และแพร่เมตตาพรหมวิหาร อุทิศบุญกุศลให้กับระภูมิเจ้าที่ เทวดา สรรพชีวิตทั้งหลาย อนิษฐานขอน้ำพุทธบารมีไปประพรมให้ทั่วบริเวณบ้าน ขอบันดาลให้สิ่งที่ร้ายกลายเป็นดี
๑บางท่านอายุถึงเบญจเพศดวงไม่ดี เนื่องจากสาเหตุไดๆก็ตามไม่ว่า ราหูเข้า พระเสาร์แทรง เราอาจจะทำพอธีบูชารับส่งรวมกันทุกพระองค์พร้อมกันทีเดียวก็ได้ โดยหาเทียนใหญ่พอประมาณ ปิดทองคำแท้ อนิษฐานเป็นเทียนเสริมดวงเสริมสิริมงคล ดวงชะตาชีวิต ให้แต่งดอกไม้ธูปเทียนภาวนา สวดอิติปิโสนพเคราะห์ เต็มสูตร บูชาเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาดวง ขอให้กลับร้ายกลายเป็นดี ที่ดีแล้วก็ให้ดียิ่งขึ้นไป อาจสวดมนต์พระคาถาต่างจนหมดเล่ม หรือ นั่งสมาธิต่อด้วยก็ยิ่งดี
๑กิจการค้าขายไม่ประสบสำเร็จ ให้ พิจารณาแก้ไขตามเหตุอันสมควร หรือจะใช้วิธีช่วย คือ ธูปอนิษฐาน ให้เอาธูปที่ใช้ทั้งห่อมาทำพิธีสวดอิติปิโสนพเคราะห์และพระคาถาต่างๆ แล้วอนิษฐานขอให้เป็นธูปสารพัดดี เวลาใช้ให้จุดปักกลางแจ้งโดยใช้จำนวนตามกำลังวัน และสวดคาถาบูชาประจำวัน ตามด้วยพระคาถาอื่นๆขอในสิ่งที่ดีงาม ธูปนี้สามารถใช้บูชาพระสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นอย่างดี (ดูหัวข้อ ทานส่งผลให้มีทรัพย์ ประกอบ)
๑บางท่านมีคนทักว่ามีองค์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษา ไปรับขันธ์รับพานมาปรากฏว่าไม่ดีขึ้น แย่ลงกว่าเดิม หรือถูกหลอกลวง ให้เสียเงินเสียทองอันนี้ให้พิจารณาให้ดี มีอีกวิธีหนึ่งให้จัดธูป 5 ดอก เทียน 5 เล่ม ดอกบัว 5 ดอก (ดอกอะไรก็ได้ที่หาได้) ตั้งขันธ์บูชาถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาตน องค์ครูบาอาจารย์ทั้ง 108 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์เป็นมิ่งเคารพ ให้ตั้งขันธ์ 5 นี้ในวันดี เช่น วันพฤหัสบดี โดยตั้งชุมนุมเทวดา สมาทานศีล สวดมนต์บูชา และแพร่เมตตา
๑การกินมังสวิรัติ การงดเว้นเนื้อสัตว์นอกจากให้ใจเบากายเบา ย่อมช่วยปริมาณการฆ่าสัตว์ได้ ร่างกายสะอาด เทวดาย่อมรักษา ให้พิจารณาเป็นเพียงธาตุ แพร่เมตตา เพื่อไม่ให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน
๑ก่อนนอนสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนนอนอย่างสวดมนต์ภาวนา แพร่เมตตา จะยังผลให้จิตใจสบายให้นอนหลับสนิท
๑ผู้ที่นอนผันร้าย แก้ ด้วยพระคาถา ดังนี้ ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญ จะโยขามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตังพุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯฯ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ให้เลือกใช้ตามโอกาส ย้อมสะเดาะเคราะห์ เสริมบารมี มงคลชีวิตได้ ทุกสิ่งในโลกเป็นอนิจจังทั้งหมด อย่ามองแต่ภายนอกให้มองภายในใจของเราบ้าง พระท่านว่าการให้ธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง มีอานิสงค์สูงสุด การสร้างหนังสือธรรมทุก1ตัวอักษรเปรียบเสมือนการสร้างพระ 1องค์ ย่อมมีเทวดามารักษา กำจัดโรคเวรโรคกรรม บรรเทาหนี้กรรมได้ทำให้เจริญรุ่งเรื่อง อนิษฐานในทางชอบธรรม จะสำเร็จสมปราถณา
บทความจาก http://www.dandham.com
ถาม – วิบากกรรมมีจริงหรือ?
ตอบ - หลายท่านที่เป็นคนรุ่นใหม่ ไฟทะยานแรงอ่านกรรมพยากรณ์แล้วเกิดความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็มักส่งคำถามนี้มาเสมอ ถ้าผมตอบแค่ ‘จริง’ ไปเฉยๆ ก็มักมีข้อสงสัยอื่นตามมาอีกเป็นพรวน เช่นทำไมคนทำชั่วยังเห็นได้ดีลอยนวลอยู่ นี่เป็นความกังขาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ และบางครั้งคำตอบที่เป็นคำพูดช่วยเหลืออะไรไม่ได้
เช่นต่อข้อกังขาข้างต้นนั้น ผมมักอุปมาอุปไมยว่าถ้าเขาสร้างเรือมาเป็นลำใหญ่แข็งแรง เขาต้องใช้เวลาเจาะ ใช้เวลาทุบ ใช้เวลารื้อเรือของตัวเองเนิ่นนานกว่าที่มันจะจม เราไปหวังเห็นเรือล่มทันทีที่เขาเอาค้อนปอนด์ทุบพื้นเรือแรงๆโป้งเดียวมัน ไม่ได้ แต่การเปรียบเปรยก็เป็นแค่โวหาร สะกิดใจเดี๋ยวเดียวก็ลืม ไม่ช่วยคลายกังขาในระยะยาวแต่ประการใด
สิ่งที่ผมนิยมมากกว่าการพูดตอบจึงมักเป็น คำแนะนำให้ทำกรรมอะไรสักอย่างที่เห็นผลชัดเจนทันตาทันใจที่สุด เอาให้รู้สึกเหมือนนักทดลองในห้องวิจัยพิสูจน์ถูกผิดทางวิทยาศาสตร์ ใส่เหตุเข้าไปอย่างนี้ ดูซิจะได้ผลออกมาอย่างนั้นๆตามทฤษฎีหรือไม่ เมื่อปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้นให้รู้ประจักษ์กับตัว ก็จะได้ทำลายความสงสัยลงได้มากระดับหนึ่ง เพียงพอให้เต็มใจพากเพียรก่อร่างสร้างกรรมดีเพื่อเห็นผลชัดยิ่งๆขึ้นไป สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้สั่งสมบุญย่อมเป็นสุข และนั่นก็หมายถึงการได้มีเสบียงชั้นดีไว้ติดตัวในยามต้องเดินทางไกลกันต่อไป
วันนี้ผมก็อยากเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องทุก ท่านได้ร่วมแรงร่วมใจทำอะไรอย่างหนึ่ง อันอาจเป็นความประทับใจ ทำให้ทรงจำไปตลอดชีวิตของพวกท่าน!
ก่อนอื่นขอให้ข้อมูลเป็นการปูพื้นเบื้อง ต้นสักนิดหนึ่ง นับตั้งแต่นิตยสารบางกอกฉบับนี้วางจำหน่าย จะมีคนอ่านเฉลี่ยวันละประมาณแสนคนไปจนถึงอาทิตย์หน้า โดยมีกระจุกคนอ่านมากเป็นพิเศษในช่วงเช้าตรู่และช่วงเย็นหลังเลิกงาน
โดยการประมาณอย่างคร่าวที่สุด ชั่วโมงเดียวกับที่คุณกำลังอ่านคอลัมน์นี้ จะมีเพื่อนชาวบางกอกอื่นๆอ่านเนื้อความเดียวกันอยู่เป็นหลักหมื่น เพียงคุณนึกสบายๆถึงความจริงที่เกิดขึ้นรอบด้านดังกล่าว ก็น่าจะเกิด ‘ความรู้สึกร่วม’ ขึ้นมาได้วูบหนึ่ง อาจเป็นความรู้สึกอบอุ่นใจ อาจเป็นอาการขนลุกแผ่ว หรืออาจรู้สึกเป็นจริงเป็นจังคล้ายกำลังร่วมประชุมใหญ่กับเพื่อนร่วมชมรม
ความรู้สึกร่วมมีพลังในตัวเอง คุณเคยเห็นหนังสือพิมพ์ที่มาส่งเหมือนเค้กร้อนๆก้อนใหม่ น่าให้บริโภคข่าวสารไหม? เคยรู้สึกไหมว่าถ้าเห็นหนังสือพิมพ์เก่าไปแม้แต่เพียงวันเดียวจะน่าเหม็น เบื่อ ทำให้เราไม่อยากหยิบขึ้นอ่าน?
ตอนดูทีวีเชียร์บอลหรือเชียร์กีฬาใดๆ แม้ไม่ได้ดูแบบติดปลายนวม คุณก็อยากชมการถ่ายทอดสดมากกว่าแบบบันทึกเทป โดยเฉพาะถ้าเป็นประเภทมวยคู่หยุดโลก ชนิดที่ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่ากำลังมีเพื่อนร่วมโลกปักเก้าอี้ตั้งตาดูด้วย ความระทึกใจในเวลาเดียวกับเรา ใครเอาช้างมาฉุดก็ไม่มีทางได้ตัวเราไปไหนอื่นแน่ แม้เกมจบอารมณ์ก็ยังไม่จบ อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนอภิมหาความมันเข้าไส้กับใครต่อใครไปทั้งวัน
นี่เป็นความจริงที่ทุกคนสัมผัสได้อยู่ใน ส่วนลึกมาตลอด แต่ไม่มีใครพูดออกมา และไม่มีใครเห็นว่ามีสาระสำคัญอย่างไร จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่วันนี้ถ้าทุกคนมีใจสมัครสมานพร้อมกันปรารถนาจะพิสูจน์วิบากกรรม คุณๆอาจจำไว้บอกต่อกับญาติๆว่าปาฏิหาริย์มีจริง!
คอลัมน์ ‘เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว’ ฉบับนี้จะบอกคุณว่า เมื่อใดที่คิดรักษาศีลให้ได้เพียง ๑ ข้อด้วยความรู้สึกเด็ดเดี่ยว เมื่อนั้นคุณจะได้รับผลกรรมทันที เป็นความสุขใจ สุขเบา สุขเย็น และถ้าหากรับรู้ว่ากำลังมีกลุ่มคนอีกจำนวนมากกำหนดจิต ตั้งเจตนาเช่นเดียวกันด้วยความซื่อสัตย์ คุณจะยิ่งบังเกิดความปลาบปลื้มเป็นทวีคูณ เพราะได้รับผลกรรมจากการร่วมยินดีอนุโมทนาบุญของกลุ่มชนจำนวนมหาศาล
ถึงแม้ว่าหลายคนที่กำลังอ่านอยู่จะไปที่ วัดเป็นประจำ และมีประสบการณ์ขอถือศีลพร้อมกับเพื่อนพ้องน้องพี่ประชาชีชาวพุทธ ก็ไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่อะไรนัก เพราะจิตแต่ละคนไม่ได้ตั้งใจรักษาศีลเป็นข้อๆอย่างแท้จริง หรือแม้ขณะกล่าว ก็อาจไม่รับทราบด้วยซ้ำว่าตนกำลังตั้งสัจจะต่อหน้าพระ จะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง!
ถ้าเรามาตกลงร่วมกัน เมื่ออ่านคอลัมน์นี้อยู่พร้อมกับแฟนบางกอกท่านอื่น ขอแค่ศีลข้อแรกข้อเดียว เพียงตั้งเจตนาอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะงดฆ่าสัตว์ งดเบียดเบียนชีวิตเพื่อนร่วมโลกเป็นเวลาหนึ่งวัน ผลกรรมที่จะเกิดขึ้นประจักษ์จิตทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยบอก คือปีติสุขโปร่งเบาอย่างใหญ่ หรืออย่างน้อยที่สุดคือความเบากายเบาใจต่างจากปกติ แม้ผู้ที่รู้สึกว่าตนไม่ฆ่าสัตว์อยู่แล้ว ถ้าลองตั้งใจสำทับลงไปเพื่อให้เกิดความหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น ก็จะรู้สึกถึงกระแสสุขร่วมกันได้เช่นกัน
แต่เท่านี้เห็นจะยังไม่ทำให้เกิดศรัทธาในกรรมดีสักเพียงใด ลองมองไกลไปกว่านั้นอีกหน่อย ขออัญเชิญพระพุทธพจน์อันเป็นสัจจะมาแสดง คือ
หญิงชายใดก็ตาม เบียดเบียนสัตว์เป็นประจำด้วยฝ่ามือ หรือด้วยก้อนดิน หรือด้วยท่อนไม้ หรือด้วยอาวุธ เมื่อเขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะตั้งจิตคิดก่อกรรมไว้อย่างนั้น แม้เมื่อมาเป็นมนุษย์ในภายหลัง เขาก็จะเป็นคนมีโรคมาก
สรุปคือแม้ตบยุง บี้มด ฆ่าแมลง ถึงเห็นเป็นสัตว์เล็กที่ไม่น่าจะบาปหนักพอส่งเราไปลงนรก อย่างน้อยก็ย่อมทำให้เป็นโรคกวนใจเรื้อรังไม่หายขาด แต่หากเป็นตรงข้าม คือแม้โดนแมลงรบกวนอย่างไรก็ข่มใจไม่ฆ่าด้วยมือ ไม่ฆ่าด้วยสารพิษ ทำอย่างมากเพียงหาวิธีขับไล่มันไปพ้นๆ เช่นนี้จะมีวิบากเป็นผู้มีโรคน้อย
พูดง่ายๆ ขอแค่วันที่คุณอ่านนี้ ตั้งใจจะไม่ตบแม้แต่ยุงสักตัวเดียว ก็มีสิทธิ์เห็นผลได้ อย่าประหลาดใจถ้ากำหนดเจตนาแน่วแน่แล้วรู้สึกถึงน้ำจิตที่หลั่งกระแสเมตตา ออกมาไพศาล เพราะเมื่อเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกระแสย่อมรู้สึกสัมผัสชัดถึงกระแสใหญ่นั้นไป ด้วย
อาศัยความจริงเกี่ยวกับผลกรรมข้อนี้เป็น ตัวตั้ง อนุโมทนาร่วมกันว่าจะมีสัตว์รอดจากการถูกฆ่าจำนวนมากในวันที่กำลังอ่านนี้ คุณจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนก่อกรรมประเภทไม่เบียดเบียน เมื่อร่วมก่อกรรมก็ต้องได้ร่วมเสวยผลกรรม ยอมทดลองเพื่อพิสูจน์ผล ไม่เสียอะไรมากไปกว่าการตั้งใจจริงเพียงวันเดียวเท่านั้น
ปริมาณสัตว์ที่รอดเพราะการอธิษฐานร่วมกัน จะก่อตัวเป็นพลังใหญ่ ใช้อ้างในการทดลองอธิษฐานพิสูจน์กรรมได้ โดยคิดว่าถ้าผลของการให้อภัยสัตว์เป็นทานร่วมกันนี้มีความไพบูลย์จริง ขอให้โรคภัยไข้เจ็บเล็กใหญ่ที่เป็นอยู่ทุเลาลง ทรมานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเร็วที่สุด
อย่าอธิษฐานแบบที่จะทำให้เสียกำลังใจ เช่นขอให้หายขาด ขอให้ไม่เป็นโรคอีกเลย เพราะกำลังบุญที่คุณทำนั้นมีกำหนดชั่วระยะวันเดียว ยังอาจสู้กับกรรมเก่าที่ทำมาเป็นปีๆเป็นชาติๆไม่ได้ อีกอย่างแม้พระพุทธองค์ก็ทรงจำแนกไว้ ว่าความป่วยไข้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งลมฟ้าอากาศ ทั้งการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ทั้งการทำงานหนักเกินกำลัง และทั้งการเสวยวิบากแห่งกรรม ฉะนั้นถ้าคุณเป็นโรคที่เกี่ยวกับความเฉื่อยชาไม่ออกกำลังกาย วิธีแก้ตรงๆคือออกกำลังกายให้มากขึ้น
แต่อย่างน้อยการเป็นหนึ่งในผู้เข้า โครงการอธิษฐานงดปลงชีวิตสัตว์หนึ่งวันนี้ จะมีผลให้สุขภาพของคุณดีขึ้นกว่าที่เป็นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะถูกโรคใดโรคหนึ่งรบกวนอยู่ เพราะวิบากของการงดปลงชีวิตสัตว์แม้ถูกกวนใจนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย (คือแข็งแรงนั่นเอง) ในที่นี้เราทำกันแบบมีตัวคูณ ไม่ได้แยกทำเดี่ยวๆ ก็ย่อมมีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะเห็นผลทันตา
..........http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare001.htm
บทความจาก : http://www.dhammajak.net/kram/17.html
เปลี่ยนวิธีเผชิญหน้ากับปัญหา
ครั้งหนึ่ง... ขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเพลินๆ อยู่ในสวนสาธารณะฉันได้ยินเสียงร้องไห้ ดังใกล้เข้ามา
หลังจากเงยหน้าขึ้นมาดู
ก็เห็นผู้ชายวัยคุณพ่อคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานผ่านตรงหน้า
ตามหลังมาด้วยหนูน้อยเจ้าของเสียงอายุประมาณ 7-8 ขวบ
ที่ขานั้น...กำลังปั่นจักรยานคันน้อย
แต่ปาก...ก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจ
หวังจะให้คุณพ่อ หันกลับมาช่วย
จากการประเมินสถานการณ์
ฉันคิดว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังอยากถอดใจ
เพราะคิดว่าตัวเองคงปั่นจักรยานต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่งานนี้- -ดูเหมือนคุณพ่อจะไม่ใจอ่อนง่ายๆ
กลับปั่นจักรยานของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนคุณลูก...ก็ตะเบ็งเสียงต่อไปเรื่อยๆ เช่นกัน
จนกระทั่ง อีกอึดใจหนึ่ง คุณพ่อก็เลี้ยวรถกลับมา
แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของฉันก็คือ
คุณพ่อ...ไม่ได้กลับมาช่วย แต่เขากลับมาเพื่อบอกประโยคหนึ่งกับลูกตัวเองว่า
“ น้อง......ครับ พ่อว่า ให้ลูกเปลี่ยนจากออกแรงตะเบ็งเสียง
มาเป็นออกแรงปั่นจักรยานดีกว่านะครับ”
แล้วคุณพ่อใจเด็ด ก็ปั่นจักรยานต่อไป...
ส่วนลูกชาย...ก็ค่อยๆลดเสียงลง แล้วปั่นจักรยานคันน้อยต่อไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
.........................................
หลายครั้ง...ที่บางคนอาจเคยทำตัวคล้ายๆกับเด็กน้อยคนนี้
แต่เราจะรู้บ้างมั้ยว่า
ในตัวเรา ก็สามารถเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเอง
จาก ‘เด็กน้อย’ เป็น ‘คุณพ่อ’ ได้ในเวลาเดียวกัน
เมื่อไหร่ที่เกิดความรู้สึกว่าตัวเองกำลัง ‘ไม่ไหว’
อยากให้ลองถามตัวเองดูใหม่ว่า
ที่ ‘ ไม่ไหว ’ นั้นน่ะ เป็นเพราะเรา...แค่ไม่อยากจะสู้รึเปล่า
มีความจริงอันหนึ่งที่หลายคนอาจจะลืม ก็คือ
ก่อนที่ทุกคนจะหมดแรงนั้น
ธรรมชาติยังมอบ ‘ กำลังเฮือกสุดท้าย ’ ให้เสมอ
และที่เราไม่หยิบมันออกมาใช้
ก็เพราะเราลืมหรือกำลังเหนื่อยกับการตีโพยตีพายอยู่รึเปล่า
ในทุกปัญหาย่อมมีวิธีคลี่คลายที่ถูกจุดและมีช่วงเวลาแก้ที่เหมาะสม
อยู่ที่เราเองเท่านั้น ว่าจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ และเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร
ที่สำคัญอย่ายอมแพ้...ถ้ายังไม่หมดเวลา.
........................................................................................................
จากหนังสือ : แปลงเพาะชำ วันดีๆ โดย ปูปรุง สำนักพิมพ์ใยไหม
ขอบคุณบทความจาก...ทำดีดอทเน็ต
ผู้เผยแพร่ : http://www.dhammajak.net/dhamma/104.html
หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต..
หลายคนคงผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมานับไม่ถ้วน..
ทั้งบทเรียนแห่งความผิดหวัง..
บทเรียนแห่งความท้อแท้..แพ้ชีวิต..
บทเรียนแห่งความสำเร็จ..
ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใด ๆ ก็ตาม..
เมื่อเราเกิดความผิดหวัง...ท้อแท้..ในชีวิต..
เราต้องพยายามปรับใจ..วางใจให้ถูก..
ด้วยวิธีการคิดที่จะปรับเปลี่ยน..ชีวิตของเรา..
ให้มีกำลังใจ..สู้ต่อไป..
๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ..
วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น
>>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข
>>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย...
>>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..
วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น
>>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง
>>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน..
>>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้..
>>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย...
>>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...
วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว.. >>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ..
>>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม..
>>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..
>>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..
วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก.. >>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น..
>>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง..
>>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ..
>>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ...
>>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...
ดังนั้น..
ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต..
จงพยายามคิดให้ใจสู้...
อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ..
อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม..
อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ..
อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง..
จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ....
การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”...
................................................บทความโดย..ชายน้อย...
ธรรมะไทย http://www.dhammathai.org
ว.วชิรเมธี เตือนวัยรุ่นรักด้วยสมอง มีให้เลือก 4 แบบ กลัวตาย-ใคร่-เมตตา-ให้
ดังนั้น ความรักจะเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศหรือความทุกข์ตรมขึ้นอยู่กับว่ารักด้วยสมอง หรือรักแบบขึ้นสมอง และต้องไม่ยึดติดว่าความรักมีเพียงมิติเดียว คือความรักเชิงชู้สาวเท่านั้น แต่ความรักมีหลายมิติ เปรียบเสมือนบันไดต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น จนถึงความหมายของความรัก นั่นคือความสุข ถ้ารักแล้วมีความทุกข์พัฒนาการของความรักยังไม่สมบูรณ์
สำหรับความรักมี 4 แบบ คือ 1. รักตัวกลัวตาย รักชนิดนี้ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว 2. รักใคร่ปรารถนา อิงกับสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ ความรักชนิดนี้จะทำให้เกิดความลุ่มหลง กามารมณ์ หนุ่มสาวจะยึดความรักชนิดนี้เป็นที่พึ่งของชีวิต ยึดติดความใคร่มาใช้ในนามของความรัก จนกลายเป็นความโลภ คือ อยากจะครอบครองใครสักคนให้อยู่ในความควบคุมของเรา พอควบคุมไม่ได้ความรักก็กลายเป็นความร้ายเป็นโศกนาฏกรรม เช่น ทำร้ายคนรัก เผยแพร่คลิปคนรัก สาดน้ำกรดคนรัก เป็นต้น 3.รักเมตตาอารี ให้เห็นคนทั้งโลกว่าเป็นมิตรแก่เรา และ 4.รักมีแต่ให้ คือเป็นผู้ให้ รักปัญญาชนไม่คิดจะทำร้ายใคร ไม่หวังผล และพัฒนาจนปลายทางของความรักแท้
ทั้งนี้ เนื่องในวันวาเลนไทน์ ขอให้เยาวชนคนไทยทั้งหลายยึดความรักที่ถูกที่ควร เป็นแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ไปจมติดกับความรัก
.............
.-สำนักข่าวไทย
ขอบคุณ : http://www.dhammajak.net/dhamma/114.html
จริงใจ..สบายจริง
คงเป็นเรื่องน่าเศร้า
หากคนเราต้องบิดเบือนความจริงในใจ
แล้วใส่หน้ากากเข้าหากัน
เราคงมีชีวิตอยู่กับความสุขปลอมๆ
ท่ามกลางความกลัวที่จะผิดหวัง
ทั้งที่ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี
ถอกหน้ากากออกดีไหม
จะเป็นไรไป หากใครจะอ่านสายตาของเราได้
หรือแม้แต่จะมองทะลุถึงใจของเรา
เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เราไม่ต้องปิดบัง อำพราง
ไม่ต้องไว้ท่าไว้ทางหรือมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ
เมื่อนั่นใจของเราย่อมมีพลังอย่างเต็มที่
ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้น
ซึ่งต่างค้นพบพลังแห่งความจริงใจ
เป็นพลังที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ
แต่มีอานุภาพเหลือประมาณ
ฉะนั้น..
อย่ากลัวเลย..ที่จะเป็นคนจริงใจ
เป็นคนซื่อๆ ใสๆ
ปากกับใจตรงกัน
ถึงแม้เราไม่เก่ง ไม่ดีเด่น
ไม่ได้เป็นคนสำคัญ
ขอเพียงเรามีความจริงใจต่อกัน
แค่นี้ก็สุขสบายใจ..
....................
บทความจากhttp://www.watsuthatschool.com/viteput/
.. เหตุผลที่เราควรรักแม่ มากกว่าแฟน ..
แม่. . . ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก
เพราะเราเต็มใจรักแม่ โดยไม่ต้องหลง
...
แม่. . . อาจเคยตีเราให้เจ็บ แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ
แม่. . . ส่งเสียเรา แต่เราต้องส่งเสียแฟน
...แม่. . . ไม่เคยบอกเลิก
แม่. . . เป็นแบงค์ส่วนตัวที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ย
และไม่ค่อยทวงคืน
...
แม่. . . เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง
แม่. . . เป็นคนที่เห็นเราดีกว่า แฟนของแม่เสมอ
ขอหอมแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแฟน
...แม่. . . ยอมตัดสะดือตัวเองเพื่อให้เราเกิดมา
แม่. . . สอนให้เราพูดได้ เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนโต
แม่. . . ยอมเป็นยายอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน
เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน
...
และในประเทศนี้ไม่มี . . . “วันแฟนแห่งชาติ” เหมือนวันแม่ใช่มั้ย
...
รู้ว่าความรักของแม่ ยิ่งใหญ่กว่าแฟนแล้ว. . .
พรุ่งนี้!! คุณอยากบอกแม่ว่าอะไรดี. . .?
...อย่ารอโอกาส หรือรอเวลาบอกรักแม่เฉพาะ “วันแม่” เท่านั้น
. . .เพราะวันเวลาอาจทำให้คุณ . . . ไม่มีโอกาสบอกรักแม่ก็เป็นได้
ที่มา : http://www.dhammajak.net/dhamma/78.html
.......
ข้อมูลจาก Forward Mail
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
"ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข"
"ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข"
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
ใช้ความสามารถปรุงแต่งสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ภายนอกแล้วอย่าลืมใช้ความสามารถนั้น ปรุงแต่งสร้างสรรค์ความสุขภายในด้วย
พระพุทธศาสนาเปิดเผยความจริงว่าความสุขมีมากมาย ความสุขมีหลายแบบ ความสุขมีหลายชั้นหลายระดับ ทั้งความสุขภายนอกภายใน ทั้งความสุขแบบแบ่งแยกและความสุขแบบประสาน ทั้งความสุขที่อาศัยวัตถุและไม่อาศัยวัตถุ ทั้งความสุขทางร่างกายและความสุขทางจิตใจ ทั้งความสุขระดับจิตและความสุขระดับปัญญา ทั้งความสุขแบบมัวเมาติดจม และความสุขแบบโปร่งโล่งผ่องใส
ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้น ซึ่งสัตว์อื่นไม่มี การที่มนุษย์เจริญขึ้นมามีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ก็เกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการปรุงแต่งสร้างสรรค์นี่แหละแต่กว่าจะออกมาเป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้ ต้นเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา คือ ใจที่มีสติปัญญาเริ่มด้วยใช้ปัญญาคิดปรุงแต่งข้างในแล้วจึงแสดงออกมาเป็นการปรุงแต่งประดิษฐ์วัตถุ สร้างสรรค์วัตถุข้างนอกได้จนกระทั้งเป็นคอมพิวเตอร์และดาวเทียม ก็เกิดจากความคิดในใจเป็นจุดเริ่ม
ทีนี้ความคิดของเรานี่น่ะ นอกจากปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุข้างนอกแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือปรุงแต่งสุขปรุงแต่งทุกข์ข้างใน เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราใช้ความสามารถนี้ตลอดเวลาด้วยการปรุงแต่งความสุข และปรุงแต่งความทุกข์ จริงไหมว่าที่เราทุกข์เราสุขกันนี้ ส่วนมากเป็นสุขและทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น
สัตว์อื่นนั้นไม่รู้จักความทุกข์ความสุขมากเหมือนมนุษย์ มันมีความสุขความทุกข์ที่เกิดจากทางกาย ได้กินอาหาร ได้หลับนอนพักผ่อนหรือต่อสู้หนีภัยอะไร ๆ ก็ตามประสา แต่ความสุขความทุกข์ทางใจที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งมันไม่มี เราจะเห็นว่าสัตว์กลุ้มใจไม่เป็น สัตว์มันเครียดไม่เป็น เครียดได้แต่เรื่องที่สืบเนื่องจากทางกาย ไม่เหมือนมนุษย์
มนุษย์นี้ปรุงแต่งสุขทุกข์ในใจกันมากมายพิสดารปรุงแต่งทุกข์ให้กลุ้มให้กังวลให้เครียดจนกระทั้งเสียจิตไปเลย สัตว์อื่นปรุงแต่งใจให้เป็นบ้าไม่ได้ แต่มนุษย์ปรุงแต่งจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไปก็มี มนุษย์มีความสามารถนี้อยู่มากมายนัก แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ใช้ความสามารถนี้ไปในการปรุงแต่งทุกข์มากกว่าปรุงแต่งสุข มีอะไรมากระทบตากระทบหู ไม่สบายใจนิดหน่อย ก็เก็บเอามาปรุงแต่งต่อเสียยืดยาวใหญ่โต เวลาอยู่ว่าง ๆ แทนที่จะปรุงแต่งสุข ก็ปรุงแต่งทุกข์ เอาเรื่องที่ไม่ดีมาวาดเป็นภาพ ทำให้เกิดความรู้สึกกลุ้มใจกังวล มีความโกรธเคียดแค้นต่าง ๆ ทำให้มีความทุกข์มากมาย แสดงว่ามนุษย์ส่วนมากใช้ความสามารถไม่ถูกทางจึงเป็นโทษแก่ตนเองทีนี้ถ้ามนุษย์ฝึกตัวให้ใช้ความสามารถนั้นให้ถูก เขาก็จะปรุงแต่งความสุขได้มากมายมหาศาล
ในทางพระพุทธศาสนาท่านแนะนำให้เราปรุงแต่งความสุข
ท่านสอนวิธีทำใจหรือฝึกจิตฝึกใจ และบอกวิธีใช้ปัญญามากมาย อย่างเช่น การบำเพ็ญสมาธิต่าง ๆ ก็คือวิธีปรุงแต่งจิตใจนั่นเอง แต่เป็นการปรุงแต่งให้เป็นสุข ในการมองโลกแม้แต่สิงเดียวกัน ถ้าเรามองไม่เป็น ก็เป็นเรื่องร้ายเกิดทุกข์ แต่ถ้ามองเป็น ก็กลายเป็นดีเกิดสุขได้
ขอเล่าเรื่องพระท่านหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนหนังสือที่มหาจุฬาฯ ในวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เวลาชั่วโมงว่างไม่ได้เรียนหนังสือ ท่านจะมองไปที่ท่าพระจันทร์ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาขวักไขว่จำนวนมาก ท่านมองไปมองมาแล้วก็นั่งหัวเราะ อาตมาก็ถามว่าหัวเราะอะไร ไม่เห็นมีอะไร ท่านบอกว่ามองไปเห็นผู้คนเดินไปเดินมา ท่าทาง รูปร่างเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าสีสันต่าง ๆ กัน คนนั้นเดินอย่างนี้ คนนี้เดินอย่างนั้น ดูแล้วขำ ท่านก็เลยหัวเราะ นี่ก็เป็นวิธีมองโลกอย่างหนึ่ง
บางคนมองอะไรก็น่าขำไปทั้งนั้น บางคนมองเห็นอะไรก็รู้สึกขัดหู ดูขัดตาไปทุกอย่าง บางคนไม่มีอะไรก็นั่งกังวลไม่สบายใจ ทุกข์ไปหมด นี้เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของการปรุงแต่งจิตใจ เราตั้งท่าทีของจิตใจอย่างไรก็สร้างจิตใจให้เป็นอย่างนั้น สุข-ทุกข์ก็เกิดตามมา
ในชีวิตประจำวัน เมื่อทำงานทำการ เราก็มองโลก เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา เช่นเป็นแพทย์เป็นพยาบาลก็มองคนไข้ไปด้วย เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป กับผู้ร่วมงาน เราจะต้องหัดมองให้เป็น อย่ามองในแง่ที่กระทบหูกระทบตา
วิธีมองให้ไม่เกิดโทษมีหลายอย่าง อย่างน้อยก็ควรมองเห็นว่าเป็นประสบการณ์แปลก ๆ ในวันหนึ่ง ๆ เราพบเห็นผู้มีกิริยาอาการต่างๆ มากมาย คนนั้นลักษณะอย่างนั้น คนนี้ลักษณะอย่างนี้ เราก็มองในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น เป็นประสบการณ์ หลากหลาย เป็นข้อมูลความรู้ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เราอาจจะสบายใจหรือพอใจว่านี่เราได้รู้เห็นรู้จักโลกมากขึ้น โลกเป็นอย่างนี้ เมื่อเราทำใจอย่างนี้ สิ่งที่พบเห็นก็ไม่กระทบหูไม่กระทบตา ไม่กระทบใจ เราก็สบายใจ แต่ไม่แค่นั้น ยังดีกว่านั้นอีกคือเราได้ความรู้ด้วย.
คัดตัดตอนมาจากหนังสือ "ทำอย่างไรจะให้งานประสานกับความสุข" โดย พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต)
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
ใช้ความสามารถปรุงแต่งสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ภายนอกแล้วอย่าลืมใช้ความสามารถนั้น ปรุงแต่งสร้างสรรค์ความสุขภายในด้วย
พระพุทธศาสนาเปิดเผยความจริงว่าความสุขมีมากมาย ความสุขมีหลายแบบ ความสุขมีหลายชั้นหลายระดับ ทั้งความสุขภายนอกภายใน ทั้งความสุขแบบแบ่งแยกและความสุขแบบประสาน ทั้งความสุขที่อาศัยวัตถุและไม่อาศัยวัตถุ ทั้งความสุขทางร่างกายและความสุขทางจิตใจ ทั้งความสุขระดับจิตและความสุขระดับปัญญา ทั้งความสุขแบบมัวเมาติดจม และความสุขแบบโปร่งโล่งผ่องใส
ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้น ซึ่งสัตว์อื่นไม่มี การที่มนุษย์เจริญขึ้นมามีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ก็เกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการปรุงแต่งสร้างสรรค์นี่แหละแต่กว่าจะออกมาเป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้ ต้นเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา คือ ใจที่มีสติปัญญาเริ่มด้วยใช้ปัญญาคิดปรุงแต่งข้างในแล้วจึงแสดงออกมาเป็นการปรุงแต่งประดิษฐ์วัตถุ สร้างสรรค์วัตถุข้างนอกได้จนกระทั้งเป็นคอมพิวเตอร์และดาวเทียม ก็เกิดจากความคิดในใจเป็นจุดเริ่ม
ทีนี้ความคิดของเรานี่น่ะ นอกจากปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุข้างนอกแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือปรุงแต่งสุขปรุงแต่งทุกข์ข้างใน เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราใช้ความสามารถนี้ตลอดเวลาด้วยการปรุงแต่งความสุข และปรุงแต่งความทุกข์ จริงไหมว่าที่เราทุกข์เราสุขกันนี้ ส่วนมากเป็นสุขและทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น
สัตว์อื่นนั้นไม่รู้จักความทุกข์ความสุขมากเหมือนมนุษย์ มันมีความสุขความทุกข์ที่เกิดจากทางกาย ได้กินอาหาร ได้หลับนอนพักผ่อนหรือต่อสู้หนีภัยอะไร ๆ ก็ตามประสา แต่ความสุขความทุกข์ทางใจที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งมันไม่มี เราจะเห็นว่าสัตว์กลุ้มใจไม่เป็น สัตว์มันเครียดไม่เป็น เครียดได้แต่เรื่องที่สืบเนื่องจากทางกาย ไม่เหมือนมนุษย์
มนุษย์นี้ปรุงแต่งสุขทุกข์ในใจกันมากมายพิสดารปรุงแต่งทุกข์ให้กลุ้มให้กังวลให้เครียดจนกระทั้งเสียจิตไปเลย สัตว์อื่นปรุงแต่งใจให้เป็นบ้าไม่ได้ แต่มนุษย์ปรุงแต่งจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไปก็มี มนุษย์มีความสามารถนี้อยู่มากมายนัก แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ใช้ความสามารถนี้ไปในการปรุงแต่งทุกข์มากกว่าปรุงแต่งสุข มีอะไรมากระทบตากระทบหู ไม่สบายใจนิดหน่อย ก็เก็บเอามาปรุงแต่งต่อเสียยืดยาวใหญ่โต เวลาอยู่ว่าง ๆ แทนที่จะปรุงแต่งสุข ก็ปรุงแต่งทุกข์ เอาเรื่องที่ไม่ดีมาวาดเป็นภาพ ทำให้เกิดความรู้สึกกลุ้มใจกังวล มีความโกรธเคียดแค้นต่าง ๆ ทำให้มีความทุกข์มากมาย แสดงว่ามนุษย์ส่วนมากใช้ความสามารถไม่ถูกทางจึงเป็นโทษแก่ตนเองทีนี้ถ้ามนุษย์ฝึกตัวให้ใช้ความสามารถนั้นให้ถูก เขาก็จะปรุงแต่งความสุขได้มากมายมหาศาล
ในทางพระพุทธศาสนาท่านแนะนำให้เราปรุงแต่งความสุข
ท่านสอนวิธีทำใจหรือฝึกจิตฝึกใจ และบอกวิธีใช้ปัญญามากมาย อย่างเช่น การบำเพ็ญสมาธิต่าง ๆ ก็คือวิธีปรุงแต่งจิตใจนั่นเอง แต่เป็นการปรุงแต่งให้เป็นสุข ในการมองโลกแม้แต่สิงเดียวกัน ถ้าเรามองไม่เป็น ก็เป็นเรื่องร้ายเกิดทุกข์ แต่ถ้ามองเป็น ก็กลายเป็นดีเกิดสุขได้
ขอเล่าเรื่องพระท่านหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนหนังสือที่มหาจุฬาฯ ในวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เวลาชั่วโมงว่างไม่ได้เรียนหนังสือ ท่านจะมองไปที่ท่าพระจันทร์ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาขวักไขว่จำนวนมาก ท่านมองไปมองมาแล้วก็นั่งหัวเราะ อาตมาก็ถามว่าหัวเราะอะไร ไม่เห็นมีอะไร ท่านบอกว่ามองไปเห็นผู้คนเดินไปเดินมา ท่าทาง รูปร่างเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าสีสันต่าง ๆ กัน คนนั้นเดินอย่างนี้ คนนี้เดินอย่างนั้น ดูแล้วขำ ท่านก็เลยหัวเราะ นี่ก็เป็นวิธีมองโลกอย่างหนึ่ง
บางคนมองอะไรก็น่าขำไปทั้งนั้น บางคนมองเห็นอะไรก็รู้สึกขัดหู ดูขัดตาไปทุกอย่าง บางคนไม่มีอะไรก็นั่งกังวลไม่สบายใจ ทุกข์ไปหมด นี้เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของการปรุงแต่งจิตใจ เราตั้งท่าทีของจิตใจอย่างไรก็สร้างจิตใจให้เป็นอย่างนั้น สุข-ทุกข์ก็เกิดตามมา
ในชีวิตประจำวัน เมื่อทำงานทำการ เราก็มองโลก เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา เช่นเป็นแพทย์เป็นพยาบาลก็มองคนไข้ไปด้วย เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป กับผู้ร่วมงาน เราจะต้องหัดมองให้เป็น อย่ามองในแง่ที่กระทบหูกระทบตา
วิธีมองให้ไม่เกิดโทษมีหลายอย่าง อย่างน้อยก็ควรมองเห็นว่าเป็นประสบการณ์แปลก ๆ ในวันหนึ่ง ๆ เราพบเห็นผู้มีกิริยาอาการต่างๆ มากมาย คนนั้นลักษณะอย่างนั้น คนนี้ลักษณะอย่างนี้ เราก็มองในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น เป็นประสบการณ์ หลากหลาย เป็นข้อมูลความรู้ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เราอาจจะสบายใจหรือพอใจว่านี่เราได้รู้เห็นรู้จักโลกมากขึ้น โลกเป็นอย่างนี้ เมื่อเราทำใจอย่างนี้ สิ่งที่พบเห็นก็ไม่กระทบหูไม่กระทบตา ไม่กระทบใจ เราก็สบายใจ แต่ไม่แค่นั้น ยังดีกว่านั้นอีกคือเราได้ความรู้ด้วย.
คัดตัดตอนมาจากหนังสือ "ทำอย่างไรจะให้งานประสานกับความสุข" โดย พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต)
ที่มา : http://www.dhammadelivery.com/teaching-detail.php?tea_id=16
คิดบวก ชีวิตบวก
คิดบวก ชีวิตบวก Positive Thinking, Positive Life ; ว. วชิรเมธี
เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด&
เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม ในวิกฤตย่อมมีโอกาส
เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
คิดบวก ชีวิตบวก Positive Thinking, Positive Life ; ว. วชิรเมธี
เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด&
เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม ในวิกฤตย่อมมีโอกาส
เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
ไม่มีอะไรเป็น "ของฉัน"
ไม่มีอะไรเป็น "ของฉัน" มันก็ไม่ทุกข์
อากาศตอนนี้ญาติโยมก็บ่นว่าร้อนๆ ไปตามๆกัน
ซึ่งความจริงมันก็ร้อนนั่นแหละ เหงื่อไหลไคลย้อยตลอดวัน
แต่ว่าความร้อนนี่มันก็ไม่เที่ยง
คือ ไม่เท่าใดก็หมดร้อน แล้วก็ถึงหน้าฝนต่อไป
เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติของดินฟ้าอากาศ
เราจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เราก็ต้องทนอยู่กันไปตามเรื่องตามราวจนกว่าจะหมดเรื่องนั้นไป
การที่จะ อยู่ได้ตามปกตินั้น
จะต้องหมุนจิตใจของเราให้เข้ากับสิ่งที่เกิดอยู่เป็นอยู่
คือให้พอใจแค่นั้นเอง
ถ้าพอใจแล้วมันก็ไม่มีอะไร
ถ้าไม่พอ ใจแล้วก็เกิดความเดือดร้อน
เคยพบพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้อง เหงื่อท่วมตัว
อาตมาก็ไปถามว่าไม่ร้อนหรือ
ท่านก็บอกว่ามันเรื่องธรรมดา ท่านตอบว่าอย่างนั้น
แล้วท่านนั่งทำงานไปตามปกติ
ไม่รู้สึกว่ากระวนกระวาย จิตใจมันเป็นปกติ
เหงื่อมันออกมาเป็น เรื่องของร่างกาย
แต่ว่าใจนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
นั่งทำงานได้ปกติตลอดเวลา
อันนี้แสดงว่าท่านผู้นั้นรู้จักหมุนจิตใจต้อนรับสถานการณ์นั้น
แล้วก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น
คนเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราควรจะอยู่ให้เบาใจสบายใจ
อย่าอยู่ให้มีความทุกข์ความหนักใจ
เพราะเมื่อมีความหนักใจขึ้นเมื่อใดแล้ว
เราก็ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ
ถ้าเราไม่มีความหนักใจ
แม้ว่าร่างกายเราจะหนักเพราะการเปลี่ยนแปลง
แต่ตัวเราก็ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนเพราะเรื่องอย่างนั้น
อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ
คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพระเทวทัตทุ่มหินลงมา
แต่ว่าหินนั้นไม่ถูกพระองค์ เพราะไปชนต้นไม้
สะเก็ดนิดหนึ่งมากระทบถูกพระชงฆ์
คือ หน้าแข้งของพระพุทธเจ้า เลือดไหลซิบๆ ออกมา
หมอโกมารภัจจ์ก็ทำยาไปปะแผลให้ยาที่ปะนั้นเป็นยาร้อน
ก็คล้ายๆ กับทิงเจอร์ที่เราใช้กัน
แต่ว่าใช้ใบไม้ประเภทหนึ่ง เอามาพอกไว้
แล้วหมอก็กลับบ้าน หมอก็นอนไม่หลับตลอดคืน มีความเป็นห่วง
เพราะนึกในใจว่า ยาที่พอกนั้นเป็นยาที่ร้อน
พระผู้มีพระภาคคงจะไม่ได้บรรทม
เพราะความร้อนของยาที่ผิวหนัง
ตื่นแต่เช้ามืดมาเฝ้าดูพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วก็ถามไปด้วยอาการร้อนรนกระวนกระวายใจว่า
“เมื่อคืนนี้พระองค์บรรทมหลับเป็นปกติหรือเปล่า”
พระผู้มีพระภาคกลับตอบว่า
“เราบรรทมหลับเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หมอก็บอกว่า “ข้าพระองค์นอนไม่หลับเมื่อคืนนี้
เพราะมีความกังวลที่ยาปะแผลของพระองค์ว่ามันร้อน”
พระผู้มีพระภาคกลับตรัสตอบแก่หมอนั้นว่า
“ความร้อนทั้งหลายเราได้ดับมันหมดแล้วที่ใต้ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้
เวลานี้ความร้อนเหล่านั้นไม่มี ท่านจึงไม่ต้องเป็นห่วง
ไม่ต้องมีความทุกข์ในเรื่องเกี่ยวกับความร้อนต่อไป”
อันนี้เป็นเครื่องแสดงถึงด้านความสงบเย็นของจิตใจ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระองค์ไม่มีความร้อน มีแต่ความสงบเย็น
ความร้อนนั้นได้ดับไปตั้งแต่
วันตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ใต้ต้นโพธิ์แล้ว
ต่อจากนั้นก็ไม่มีความร้อนอะไร
จะนั่งอยู่ในที่ร้อนก็ไม่ร้อน จะนั่งอยู่ในที่เย็นก็ไม่เย็น
จะอยู่ในที่ใดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจของท่าน
อันนี้เป็นเรื่องพิเศษที่จะเกิดมีเฉพาะบุคคล
ที่มีจิตหลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง
หรือพ้นแล้วจากการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวเรื่องตน
ที่เราเรียกในภาษาธรรมะว่า “อัตตวาทุปาทาน”
คือ การยึดมั่นถือ มั่นในตัวฉันในของของฉัน
ถ้ายังมีความยึดมั่นอยู่ตราบใด
ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ ความร้อนก็ยังมีอยู่
อะไรๆ ที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันก็มีอยู่กับผู้นั้น
แต่ว่าถ้าถอนความยึดมั่นถือมั่นได้เมื่อใด
สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มี
มันมีของมันอยู่ตามธรรมชาติไม่ใช่ว่าไม่มี
แต่ว่าจิตไม่ได้เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น
เช่น ว่าความร้อนทางกายก็มีอยู่ เจ็บปวดมันก็มีอยู่
แต่ว่าจิตไม่ปวดในเรื่องนั้น ไม่ได้เจ็บไปกับเรื่องนั้น
ดูอาการมันเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจ
อันนี้เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ...
แต่ว่าจิตของพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่มีเหมือนเรา
จิตท่านแตกต่างจากเรา
เพราะท่านปฏิเสธหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของท่าน
อะไรๆ มันเกิดขึ้นท่านก็เฉยๆ คล้ายๆกับเรื่องอย่างนี้
เหมือนกับว่ามีอะไรของใครเขาหาย
เราไม่ได้เป็นทุกข์กับเขา
เช่นว่า คนหนึ่งเขามีของหายไป เรารู้เราก็เฉยๆ
ที่เฉยๆ ก็เพราะว่าของนั้นมันมิใช่ของเรา
บ้านคนอื่นถูกไฟไหม้อยู่ห่างไกลจากบ้านเรา
เราก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ไม่ได้เดือดร้อนใจ
ที่ไม่ได้เป็นทุกข์ก็เพราะว่า
เราไม่ได้นึกว่าเป็นบ้านของเราอยู่นั่นเอง
แต่ถ้าว่าบ้านของเราถูกไฟไหม้
เราก็ร้อนอกร้อนใจมีความทุกข์ความเดือดร้อน
ความทุกข์ความเดือดร้อนตัวนี้เกิดขึ้น
เพราะจิตเข้าไปยึดถือว่าเป็นบ้านของฉัน
เงินทองของฉัน อะไรๆ ของฉัน
พอเอาคำว่า “ของฉัน” เข้าไปใส่ไว้ไม่ว่าในเรื่องอะไร
ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นทันที เพราะเรื่องเข้าไปยึดถือในสิ่งนั้น
อันนี้แหละเป็นเรื่องที่มีอยู่
ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนที่เราพอมองเห็นได้
คือมองเห็นได้ว่า ถ้าเมื่อใดใจเราปล่อยวางเสียได้
เราก็สบายใจ แต่เมื่อใดเรา เข้าไปยึดถือมันไว้
เราก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ
อันนี้สังเกตได้ง่าย ขอให้เราสังเกตคือการศึกษาธรรมะน่ะ
เรารู้หลักทางหนังสือแล้วต่อไป
ก็ต้องเอามาค้นคว้าจากพฤติการณ์ของเราเอง
จากความคิด จากการกระทำของเรา
แล้วคอยสังเกตว่า เวลาที่เกิดทุกข์นี่มันทุกข์เพราะอะไร
เวลาทุกข์ที่หายไป มันหายไปเพราะอะไร
เพื่อจะค้นหาสมุฏฐานของความทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา
ถ้าหากเราสังเกตจะพบว่า
สิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์นั้น ก็คือการยึดมั่นถือนั่นเอง
เราจึงเรียกว่า “อุปาทาน” ตามภาษาธรรมะ
พอมีอุปาทานขึ้นมาเมื่อใด ใจมันก็ไปติดอยู่กับสิ่งนั้น
ไปยึดอยู่กับสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ไม่เหมือนใจไม่สมใจเราก็มีความทุกข์ขึ้นมาทันที
อันนี้เป็นเครื่องชี้อยู่ในตัวแล้วว่า
เราเป็นทุกข์เพราะ มีความยึดมั่นถือมั่น
ถ้าจะไม่ให้เกิดทุกข์ก็ต้องผ่อนคลาย
ความยึดมั่นถือมั่นออกไปจากใจของเราเสียบ้าง
ที่มา...ASTV ผู้จัดการออนไลน์
เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม วันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553
โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
ไม่มีอะไรเป็น "ของฉัน" มันก็ไม่ทุกข์
อากาศตอนนี้ญาติโยมก็บ่นว่าร้อนๆ ไปตามๆกัน
ซึ่งความจริงมันก็ร้อนนั่นแหละ เหงื่อไหลไคลย้อยตลอดวัน
แต่ว่าความร้อนนี่มันก็ไม่เที่ยง
คือ ไม่เท่าใดก็หมดร้อน แล้วก็ถึงหน้าฝนต่อไป
เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติของดินฟ้าอากาศ
เราจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เราก็ต้องทนอยู่กันไปตามเรื่องตามราวจนกว่าจะหมดเรื่องนั้นไป
การที่จะ อยู่ได้ตามปกตินั้น
จะต้องหมุนจิตใจของเราให้เข้ากับสิ่งที่เกิดอยู่เป็นอยู่
คือให้พอใจแค่นั้นเอง
ถ้าพอใจแล้วมันก็ไม่มีอะไร
ถ้าไม่พอ ใจแล้วก็เกิดความเดือดร้อน
เคยพบพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้อง เหงื่อท่วมตัว
อาตมาก็ไปถามว่าไม่ร้อนหรือ
ท่านก็บอกว่ามันเรื่องธรรมดา ท่านตอบว่าอย่างนั้น
แล้วท่านนั่งทำงานไปตามปกติ
ไม่รู้สึกว่ากระวนกระวาย จิตใจมันเป็นปกติ
เหงื่อมันออกมาเป็น เรื่องของร่างกาย
แต่ว่าใจนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
นั่งทำงานได้ปกติตลอดเวลา
อันนี้แสดงว่าท่านผู้นั้นรู้จักหมุนจิตใจต้อนรับสถานการณ์นั้น
แล้วก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น
คนเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราควรจะอยู่ให้เบาใจสบายใจ
อย่าอยู่ให้มีความทุกข์ความหนักใจ
เพราะเมื่อมีความหนักใจขึ้นเมื่อใดแล้ว
เราก็ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ
ถ้าเราไม่มีความหนักใจ
แม้ว่าร่างกายเราจะหนักเพราะการเปลี่ยนแปลง
แต่ตัวเราก็ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนเพราะเรื่องอย่างนั้น
อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ
คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพระเทวทัตทุ่มหินลงมา
แต่ว่าหินนั้นไม่ถูกพระองค์ เพราะไปชนต้นไม้
สะเก็ดนิดหนึ่งมากระทบถูกพระชงฆ์
คือ หน้าแข้งของพระพุทธเจ้า เลือดไหลซิบๆ ออกมา
หมอโกมารภัจจ์ก็ทำยาไปปะแผลให้ยาที่ปะนั้นเป็นยาร้อน
ก็คล้ายๆ กับทิงเจอร์ที่เราใช้กัน
แต่ว่าใช้ใบไม้ประเภทหนึ่ง เอามาพอกไว้
แล้วหมอก็กลับบ้าน หมอก็นอนไม่หลับตลอดคืน มีความเป็นห่วง
เพราะนึกในใจว่า ยาที่พอกนั้นเป็นยาที่ร้อน
พระผู้มีพระภาคคงจะไม่ได้บรรทม
เพราะความร้อนของยาที่ผิวหนัง
ตื่นแต่เช้ามืดมาเฝ้าดูพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วก็ถามไปด้วยอาการร้อนรนกระวนกระวายใจว่า
“เมื่อคืนนี้พระองค์บรรทมหลับเป็นปกติหรือเปล่า”
พระผู้มีพระภาคกลับตอบว่า
“เราบรรทมหลับเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หมอก็บอกว่า “ข้าพระองค์นอนไม่หลับเมื่อคืนนี้
เพราะมีความกังวลที่ยาปะแผลของพระองค์ว่ามันร้อน”
พระผู้มีพระภาคกลับตรัสตอบแก่หมอนั้นว่า
“ความร้อนทั้งหลายเราได้ดับมันหมดแล้วที่ใต้ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้
เวลานี้ความร้อนเหล่านั้นไม่มี ท่านจึงไม่ต้องเป็นห่วง
ไม่ต้องมีความทุกข์ในเรื่องเกี่ยวกับความร้อนต่อไป”
อันนี้เป็นเครื่องแสดงถึงด้านความสงบเย็นของจิตใจ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระองค์ไม่มีความร้อน มีแต่ความสงบเย็น
ความร้อนนั้นได้ดับไปตั้งแต่
วันตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ใต้ต้นโพธิ์แล้ว
ต่อจากนั้นก็ไม่มีความร้อนอะไร
จะนั่งอยู่ในที่ร้อนก็ไม่ร้อน จะนั่งอยู่ในที่เย็นก็ไม่เย็น
จะอยู่ในที่ใดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจของท่าน
อันนี้เป็นเรื่องพิเศษที่จะเกิดมีเฉพาะบุคคล
ที่มีจิตหลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง
หรือพ้นแล้วจากการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวเรื่องตน
ที่เราเรียกในภาษาธรรมะว่า “อัตตวาทุปาทาน”
คือ การยึดมั่นถือ มั่นในตัวฉันในของของฉัน
ถ้ายังมีความยึดมั่นอยู่ตราบใด
ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ ความร้อนก็ยังมีอยู่
อะไรๆ ที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันก็มีอยู่กับผู้นั้น
แต่ว่าถ้าถอนความยึดมั่นถือมั่นได้เมื่อใด
สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มี
มันมีของมันอยู่ตามธรรมชาติไม่ใช่ว่าไม่มี
แต่ว่าจิตไม่ได้เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น
เช่น ว่าความร้อนทางกายก็มีอยู่ เจ็บปวดมันก็มีอยู่
แต่ว่าจิตไม่ปวดในเรื่องนั้น ไม่ได้เจ็บไปกับเรื่องนั้น
ดูอาการมันเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจ
อันนี้เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ...
แต่ว่าจิตของพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่มีเหมือนเรา
จิตท่านแตกต่างจากเรา
เพราะท่านปฏิเสธหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของท่าน
อะไรๆ มันเกิดขึ้นท่านก็เฉยๆ คล้ายๆกับเรื่องอย่างนี้
เหมือนกับว่ามีอะไรของใครเขาหาย
เราไม่ได้เป็นทุกข์กับเขา
เช่นว่า คนหนึ่งเขามีของหายไป เรารู้เราก็เฉยๆ
ที่เฉยๆ ก็เพราะว่าของนั้นมันมิใช่ของเรา
บ้านคนอื่นถูกไฟไหม้อยู่ห่างไกลจากบ้านเรา
เราก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ไม่ได้เดือดร้อนใจ
ที่ไม่ได้เป็นทุกข์ก็เพราะว่า
เราไม่ได้นึกว่าเป็นบ้านของเราอยู่นั่นเอง
แต่ถ้าว่าบ้านของเราถูกไฟไหม้
เราก็ร้อนอกร้อนใจมีความทุกข์ความเดือดร้อน
ความทุกข์ความเดือดร้อนตัวนี้เกิดขึ้น
เพราะจิตเข้าไปยึดถือว่าเป็นบ้านของฉัน
เงินทองของฉัน อะไรๆ ของฉัน
พอเอาคำว่า “ของฉัน” เข้าไปใส่ไว้ไม่ว่าในเรื่องอะไร
ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นทันที เพราะเรื่องเข้าไปยึดถือในสิ่งนั้น
อันนี้แหละเป็นเรื่องที่มีอยู่
ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนที่เราพอมองเห็นได้
คือมองเห็นได้ว่า ถ้าเมื่อใดใจเราปล่อยวางเสียได้
เราก็สบายใจ แต่เมื่อใดเรา เข้าไปยึดถือมันไว้
เราก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ
อันนี้สังเกตได้ง่าย ขอให้เราสังเกตคือการศึกษาธรรมะน่ะ
เรารู้หลักทางหนังสือแล้วต่อไป
ก็ต้องเอามาค้นคว้าจากพฤติการณ์ของเราเอง
จากความคิด จากการกระทำของเรา
แล้วคอยสังเกตว่า เวลาที่เกิดทุกข์นี่มันทุกข์เพราะอะไร
เวลาทุกข์ที่หายไป มันหายไปเพราะอะไร
เพื่อจะค้นหาสมุฏฐานของความทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา
ถ้าหากเราสังเกตจะพบว่า
สิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์นั้น ก็คือการยึดมั่นถือนั่นเอง
เราจึงเรียกว่า “อุปาทาน” ตามภาษาธรรมะ
พอมีอุปาทานขึ้นมาเมื่อใด ใจมันก็ไปติดอยู่กับสิ่งนั้น
ไปยึดอยู่กับสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ไม่เหมือนใจไม่สมใจเราก็มีความทุกข์ขึ้นมาทันที
อันนี้เป็นเครื่องชี้อยู่ในตัวแล้วว่า
เราเป็นทุกข์เพราะ มีความยึดมั่นถือมั่น
ถ้าจะไม่ให้เกิดทุกข์ก็ต้องผ่อนคลาย
ความยึดมั่นถือมั่นออกไปจากใจของเราเสียบ้าง
ที่มา...ASTV ผู้จัดการออนไลน์
เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม วันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553
โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต
ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้...
ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้...
ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต
ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด
ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือการเป็นชีวิต
ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็งในแง่มุมต่างๆ
ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา ก็จะไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้เป็นอย่างไร
ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักความสุข......
เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคน อ่อนแอ หรือเข้มแข็ง
ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ.....
ต่างจากความสุข ที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ
ต่างจากความสุข ที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ
ความสุขเหมือนฝนพรำสาย
อ่อนโยน งดงาม บางเบา แต่ว่างเปล่า ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุข.......
เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับ
เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับ
และคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์
ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง
ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเอง
รู้จักการเติบโตทุกๆก้าว
ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่า
ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่า
โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
เพราะเมื่อผ่านความทุกข์ ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า...
จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต.
.
.
ในบางมุมของชีวิต บางจังหวะของการก้าวเดิน
อาจจะเจออุปสรรคขวางกั้น แต่เธอต้องก้าวฝ่าไป
ก้าวผ่านขวากหนามที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
เพราะชีวิตไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ
ทุกคนมีอุปสรรคที่ต้องพบเจอ
อุปสรรคมีไว้ทดสอบความสามารถในการดำรงชีวิต
อุปสรรคเป็นตัววัดความพยายามของแต่ละคน
คงไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม หากเธอจะก้าวเดินต่อไป
ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้เธอ ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ
เธอจงฟันฝ่าต่อไป และขอให้เธอพบเจอกับชัยชนะ
ยินดีกับความสำเร็จในวันข้างหน้า
ยิ้ม.หัวเราะ....เมื่อเธอเหนื่อยล้า
หยุดพักบ้าง......หากเธอกำลังก้าวต่อ
แล้ววันหนึ่ง.........
เธออาจเป็นได้ดั่งใจหวัง
ทุกคนจะรายล้อม ...ยินดีในความสำเร็จของเธอ
เพราะนั่นคือวันของเธอ
ได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จในชีวิต
อย่าซ้ำเติมตัวเอง ให้รู้สึกท้อแท้
และไม่อยากจะเริ่มต้นทำสิ่งใดต่อไป
ทุกคนล้มได้ แต่อย่าท้อรีบลุกขึ้นมา
.บางทีเราก็อยากที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆที่เป็นไปในโลกใบนี้
แต่บางทีเราไม่อาจรับรู้สิ่งต่างๆได้เท่ากับคนอื่น
ความสามารถในการที่จะต่อสู้กับปัญหาอาจน้อยกว่าคนอื่น
จนทำให้เราไม่รู้วิธีที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข
มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถอยู่บนโลกนี้ได้นั้นคือความหวังก้าวข้ามด้วยความรัก
"ความรัก ความหวังและกำลังใจ Come Together"
~ ทุนของชีวิตคือจิตไม่ขุ่นมัว ~
ในบางมุมของชีวิต บางจังหวะของการก้าวเดิน
อาจจะเจออุปสรรคขวางกั้น แต่เธอต้องก้าวฝ่าไป
ก้าวผ่านขวากหนามที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
เพราะชีวิตไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ
ทุกคนมีอุปสรรคที่ต้องพบเจอ
อุปสรรคมีไว้ทดสอบความสามารถในการดำรงชีวิต
อุปสรรคเป็นตัววัดความพยายามของแต่ละคน
คงไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม หากเธอจะก้าวเดินต่อไป
ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้เธอ ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ
เธอจงฟันฝ่าต่อไป และขอให้เธอพบเจอกับชัยชนะ
ยินดีกับความสำเร็จในวันข้างหน้า
ยิ้ม.หัวเราะ....เมื่อเธอเหนื่อยล้า
หยุดพักบ้าง......หากเธอกำลังก้าวต่อ
แล้ววันหนึ่ง.........
เธออาจเป็นได้ดั่งใจหวัง
ทุกคนจะรายล้อม ...ยินดีในความสำเร็จของเธอ
เพราะนั่นคือวันของเธอ
ได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จในชีวิต
อย่าซ้ำเติมตัวเอง ให้รู้สึกท้อแท้
และไม่อยากจะเริ่มต้นทำสิ่งใดต่อไป
ทุกคนล้มได้ แต่อย่าท้อรีบลุกขึ้นมา
.บางทีเราก็อยากที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆที่เป็นไปในโลกใบนี้
แต่บางทีเราไม่อาจรับรู้สิ่งต่างๆได้เท่ากับคนอื่น
ความสามารถในการที่จะต่อสู้กับปัญหาอาจน้อยกว่าคนอื่น
จนทำให้เราไม่รู้วิธีที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข
มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถอยู่บนโลกนี้ได้นั้นคือความหวังก้าวข้ามด้วยความรัก
"ความรัก ความหวังและกำลังใจ Come Together"
~ ทุนของชีวิตคือจิตไม่ขุ่นมัว ~
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ความสุขที่ถูกมองข้าม
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล ่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว ่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว ่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าส ิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื ้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่ม ีอยู่เดิม
บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแ ต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?
เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา
การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง
พระไพศาล วิสาโล
ที่มา : http://www.dhammajak.net/book-paisan/13.html
7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี
ช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ ใครที่กำลังเป็นทุกข์ ทั้งทางกายและทางใจ และกำลังมองหาหนทางในการก้าวไปสู่การดับความทรมานใจนั้นๆ ลองปรับทัศนะของชีวิต ด้วยแนวคิดเชิงบวก ข้อคิดดีๆ จาก พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธีว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง ได้ให้ข้อคิดในหลักธรรมแห่งการดำเนินชีวิต ในหนังสือชุด “มหัศจรรย์แห่งชีวิต” ประกอบด้วย ซีดี และหนังสือรวบรวมแนวคิด ซึ่งผู้ฟังและผู้อ่านสามารถนำข้อคิดที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อบรรเทาความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ปัจจุบัน กับภาวะเครียดที่รุมเร้าคนไทย ทั้งวิกฤตการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ
สำหรับ 7 หลักคิดในเชิงบวก ที่สามารถหยิบมาเป็นยาชูกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยใน 7 หลักคิด มีข้อคิดดีๆ อีก 7 ข้อ เป็นพลังมหัศจรรย์ของ 7x7 ได้แก่
1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข แน่นอนว่าเมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม”
2. ปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์
3. ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ดังท่านว่า ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคน หากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลม ฟุ้งกระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา
4. ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข ซึ่งเป็นการเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภทคือ 1. ปาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาณมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง
5. ทำงานดีก็มีความสุข ท่านว่าไว้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์-อาทิตย์แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน จงเบิกบานขณะหายใจ
6. มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
7. ครอบครัวดีทวีความสุข ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต บุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์
ผู้ที่สนใจอยากจะมอบสิ่งดีๆ ให้เป็นของขวัญแก่กันในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ สามารถหาซื้อ ชุดมหัศจรรย์แห่งชีวิต ได้ในราคาเพียง 59 บาท ที่ร้านบุ๊คสไมล์และ 7-eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ
นอกจากจะได้บุญต่อที่ 1 ด้วยการมอบคมความคิดสร้างปัญญาแล้ว ยังได้บุญต่อที่ 2 เพราะรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย สมทบทุนสถาบันวิมุตตยาลัย โครงการ “วัดป่าชานเมือง” วัดป่าสำหรับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้ได้มีโอกาสพักผ่อนกายและใจ
ที่มา : http://www.dhammajak.net/book-vachiramethi/7-7.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)